บริษัทและโรงงานกว่า 1,700 แห่งแข่งขันเพื่อขอรับการรับรอง GACC

ตามข้อมูลของแผนกการค้าในประเทศ (ทีม GACC) ขององค์กรส่งเสริมการค้าเมียนมาภายใต้กระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2021 ถึง 11 เมษายน 2025 บริษัทแปรรูปอาหารและโรงงานในเมียนมารวม 1,727 แห่งได้ยื่นใบสมัคร 3,583 ใบต่อสำนักงานบริหารศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (GACC) โดยผ่านกรมเกษตร (3,411 ใบ) กรมประมง (149 ใบ) กรมปศุสัตว์และสัตวแพทย์ (14) และกรมอาหารและยา (9 ใบ) ตามพระราชกฤษฎีกา GACC ฉบับที่ 248 และ 249 ที่กำหนดให้ผู้ส่งออกอาหารต้องลงทะเบียน GACC เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2022 เป็นต้นไป เพื่อวางสินค้าของตนในตลาดจีน โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำหรับการขึ้นทะเบียนกับ GACC ได้แก่ กิจการน้ำมันพืช น้ำมันเมล็ดพืช ผลิตภัณฑ์ขนมอบสอดไส้ รังนกที่รับประทานได้และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ธัญพืชที่รับประทานได้ ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่สีเมล็ดพืชและมอลต์ ผักสดและแห้ง ถั่วแห้ง พันธุ์พืช ถั่วและเมล็ดพืช ผลไม้แห้ง กาแฟและเมล็ดโกโก้ที่ยังไม่คั่ว อาหารพิเศษเฉพาะทางที่ไม่รวมนมผง อาหารเพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์จากผึ้ง ผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำรวมถึงผลิตภัณฑ์จากฟาร์ม ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ อาหารสัตว์ และธุรกิจปศุสัตว์ กรมเกษตร กรมปศุสัตว์และสัตวแพทย์ กรมประมง และกรมอาหารและยา ทั้งนี้ ผู้ส่งออกสามารถเข้าถึงระบบ China International Trade Single Window ได้โดยตรงผ่าน https://cifer.singlewindow.cn เพื่อสร้างบัญชีสำหรับกลุ่มอาหารที่ไม่อยู่ใน 18 กลุ่มดังกล่าว อย่างไรก็ดี ในส่วนของการขึ้นทะเบียนบริษัทผู้นำเข้านั้น กรมกักกันสัตว์และพืชภายใต้ GACC จะตรวจสอบการเข้าออกด่านกักกันสำหรับเมล็ดพืชที่นำเข้า (เมล็ดกาแฟดิบ เมล็ดโกโก้ ผักสดและอบแห้ง เครื่องปรุงรสพืช (เครื่องเทศพืช) เมล็ดพืชที่รับประทานได้ ถั่วแห้ง เมล็ดพืชน้ำมัน (พืชน้ำมัน) และผลิตภัณฑ์จากสัตว์และพืชสมุนไพรเพื่อระบุแหล่งที่มา บริษัทต่างๆ ไม่สามารถดำเนินการขึ้นทะเบียนโดยตรงได้และจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนนี้ผ่านหน่วยงานที่มีอำนาจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยส่งอีเมลมาที่  dapq@customs.gov.cn  หรือยื่นจดหมายถึงสถานทูตจีนประจำเมียนมาหรือสถานทูตเมียนมาประจำประเทศจีน

ที่มา : http://• https://www.gnlm.com.mm/1700-firms-factories-vie-for-gacc-certification/#article-title

ธนาคารกลางเมียนมาทุ่ม 25 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สู่ภาคอุตสาหกรรมน้ำมันเชื้อเพลิง

ธนาคารกลางเมียนมา (CBM) ประกาศเมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมาว่า จะอัดฉีดเงิน 25 ล้านเหรียญสหรัฐเข้าสู่อุตสาหกรรมน้ำมันเชื้อเพลิง โดยในวันดังกล่าว ธนาคารกลางเมียนมา มีการขายเงินตราต่างประเทศกว่า 319,900 เหรียญสหรัฐ และ 106,080 บาท นอกจากนี้ ยังประกาศขายเงินตราต่างประเทศ 55 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 เมษายน ธนาคารกลางเมียนมามีการขายเงินตราต่างประเทศมากกว่า 2.35 ล้านบาท วันที่ 4 เมษายน ขายเงินตราต่างประเทศ 500,000 หยวน วันที่ 7 เมษายน มีการประกาศว่าจะอัดฉีดเงิน 30 ล้านเหรียญสหรัฐเข้าสู่อุตสาหกรรมน้ำมันเชื้อเพลิง  รวมทั้งมีการขายเงินตราต่างประเทศ 40 ล้านเหรียญสหรัฐ และมากกว่า 6 ล้านบาท และเมื่อวันที่ 10 เมษายน มีการขายเงินตราต่างประเทศเกือบ 1.9 ล้านเหรียญสหรัฐ  อย่างไรก็ดี สำหรับช่วงที่ผ่านมา ในเดือนมีนาคม CBM อัดฉีดเงินเข้าระบบกว่า 126 ล้านเหรียญสหรัฐ 320 ล้านบาท และ 3.6 ล้านหยวน ในเดือนกุมภาพันธ์ มีการอัดฉีดเงินเข้าระบบกว่า 88 ล้านเหรียญสหรัฐ 7.5 ล้านหยวน และ 161 ล้านบาท และในเดือนมกราคมอัดฉีดเงินเข้าระบบกว่า 124 ล้านดอลลาร์ 13.8 ล้านบาท และ 4.8 ล้านหยวน นอกจากนี้ ธนาคารกลางเมียนมา ยังมีเป้าหมายที่จะควบคุมความไม่มั่นคงในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและการลดค่าเงิน

ที่มา : http://• https://www.gnlm.com.mm/cbm-to-infuse-us25m-into-fuel-oil-industry/

MCEF เสร็จสิ้นการประเมินโครงสร้างอาคารที่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวมากกว่า 200 แห่งในมัณฑะเลย์

ตามข้อมูลของสหพันธ์ผู้ประกอบการก่อสร้างแห่งเมียนมา (MCEF) ซึ่งเป็นองค์กรร่วมที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญ วิศวกร และกลุ่ม Parahita  ได้ดำเนินการสำรวจเมื่อวันที่ 6 เมษายน โดยไม่หยุดพัก และได้สำรวจบ้านเรือนไปแล้วกว่า 200 แห่ง ในมัณฑะเลย์ อย่างไรก็ดี ทีมงานคณะกรรมการพัฒนาเทคโนโลยีของ MCEF มีแผนที่จะจัดการอภิปรายกลุ่มเพื่อสร้างความตระหนักรู้แก่สาธารณชนเกี่ยวกับอันตรายจากแผ่นดินไหวในวันที่ 27 เมษายน 2568 โดยจะมีผู้เชี่ยวชาญ 5 คนที่มีชื่อเสียงในสาขาธรณีวิทยาและวิศวกรรมเข้าร่วม ทั้งนี้ สำหรับเจ้าของบ้านที่ต้องการรับบริการในการสำรวจบ้านเรือน สามารถติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์สำนักงานภูมิภาค 09 2044142 และ 09 2027331 เพื่อลงทะเบียนกับ MCEF

ที่มา : http://• https://www.gnlm.com.mm/mcef-completes-structural-assessment-of-more-than-200-quake-affected-buildings-in-mandalay/

ยอดขายอพาร์ทเมนท์สูงในย่างกุ้งลดลง

ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของย่างกุ้ง ยอดขายอพาร์ตเมนต์สูงชะลอตัวลงตามรายงานของนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ หลังจากแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ชาวเมืองย่างกุ้งเริ่มรู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับการอาศัยอยู่ในอาคารสูง ส่งผลให้มีการซื้อขายอพาร์ตเมนต์ เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่จากสมาคมบริการอสังหาริมทรัพย์เมียนมา (กลาง) กล่าวว่า หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทำให้ผู้คนไม่กล้าอาศัยอยู่ในอาคารสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซื้อขายอพาร์ตเมนต์สูงที่ชะลอตัวลง ปัจจุบัน ความสนใจของผู้ซื้อหันไปหารูปแบบการใช้ชีวิตที่สะดวกสบายมากขึ้น โดยในช่วงหลัง ผู้คนสนใจการซื้อที่ดินมากกว่าอาคารสูง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้งด้วย นอกจากนี้ ผู้คนที่ต้องการอาศัยอยู่ในใจกลางเมืองอาจคิดถึงทางเลือกอื่น แต่ส่วนใหญ่จะพิจารณาอาศัยอยู่ในบ้านที่สะดวกสบายในชนบท

ที่มา : http://• https://www.gnlm.com.mm/yangons-high-rise-apartment-sales-decline/

อินโดนีเซียเป็นผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ของเมียนมาในปีงบประมาณ 2024-2025

ตามข้อมูลของสหพันธ์ข้าวเมียนมา (MRF) ในปีงบประมาณ 2024-2025 (ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนถึง 31 มีนาคม) อินโดนีเซียเป็นผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ของเมียนมา โดยมีปริมาณมากกว่า 605,000 ตัน รองลงมาคือ จีน เป็นผู้นำเข้าข้าวของเมียนมารายใหญ่เป็นอันดับสอง โดยนำเข้ากว่า 516,000 ตัน รองลงมาคือเบลเยียม 355,000 ตัน ฟิลิปปินส์ 134,000 ตัน บังกลาเทศ 105,000 ตัน เซเนกัล 96,600 ตัน โกตดิวัวร์ 60,800 ตัน โปแลนด์ 57,200 ตัน สเปน 48,600 ตัน โมซัมบิก 44,200 ตัน แคเมอรูน 27,100 ตัน อังกฤษ 22,800 ตัน เนเธอร์แลนด์ 20,000 ตัน โตโก 17,000 ตัน และอิตาลี 16,100 ตัน ตามลำดับ อย่างไรก็ดี สถิติของสหพันธ์ข้าวเมียนมา (MRF) ระบุว่าการส่งออกข้าวและข้าวหักของเมียนมาพุ่งสูงถึง 2.48 ล้านตันในปีงบประมาณ 2024-2025 ที่ผ่านมา โดยมีมูลค่าประมาณ 1.129 พันล้านดอลลาร์ จากเป้าหมายของสหพันธ์ที่จะส่งออกข้าวให้ได้ 2.5 ล้านตันในปีงบประมาณ 2024-2025 นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์กำลังทำงานร่วมกับสหพันธ์ต่างๆ หอการค้าและอุตสาหกรรมเมียนมา เพื่อบรรลุเป้าหมายการส่งออกรายเดือนและอำนวยความสะดวกในการส่งออก

ที่มา : http://• https://www.gnlm.com.mm/indonesia-tops-myanmars-rice-import-chart-for-fy2024-25/#article-title

ทางด่วนย่างกุ้ง-มัณฑะเลย์กำลังซ่อมแซมหลังได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหว

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงก่อสร้าง U Myo Thant ได้ตรวจสอบงานซ่อมแซมที่ดำเนินการไปตามทางด่วนสายเนปิดอว์-ย่างกุ้ง-มัณฑะเลย์ ซึ่งได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวเมื่อเร็วๆ นี้ การตรวจสอบดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้แน่ใจว่าถนนและสะพานมีความปลอดภัย และเพื่อให้การคมนาคมขนส่งเป็นไปอย่างราบรื่น ที่สะพาน Swa Creek ใกล้หลักไมล์ 165/1 บนทางด่วน ทั้งนี้ รัฐมนตรีกระทรวงก่อสร้างได้ประเมินรายงานของเจ้าหน้าที่จากกรมสะพานเกี่ยวกับความเสียหายของสะพาน Swa Creek สองแห่ง บนช่องทางเดินรถขาขึ้นและขาลงอันเนื่องมาจากแผ่นดินไหว รวมถึงเสาค้ำที่ลดระดับลง เสาค้ำที่เอียง และรอยแตกร้าวที่ฐานสะพาน นอกจากนี้ รัฐมนตรีกระทรวงก่อสร้าง ยังให้ดำเนินการเสริมความแข็งแรงโดยใช้โครงเหล็กรองใต้สะพานเพื่อรักษาเสถียรภาพของโครงสร้าง รวมทั้งตรวจสอบพื้นสะพานที่พังถล่ม และสะพาน Bailey ชั่วคราวที่ปัจจุบันอนุญาตให้รถสัญจรได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบเสาค้ำที่จมและเอียงอย่างใกล้ชิด รวมถึงรอยแตกร้าวที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเส้นทางน้ำจากเขื่อน Swachaung ซึ่งส่งผลให้เกิดการกัดเซาะที่ฐานสะพาน ถนนทางเข้ายังมีร่องรอยของการแตกร้าวและทรุดตัว รัฐมนตรีสหภาพสั่งการให้เจ้าหน้าที่แก้ไขปัญหาเหล่านี้ด้วยการดำเนินการที่จำเป็น

ที่มา : http://• https://www.gnlm.com.mm/yangon-mandalay-expressway-under-repair-after-earthquake-damage/

อุตสาหกรรมรองเท้าของเมียนมามุ่งมั่นครองตลาดในประเทศ

ผู้ผลิตในประเทศกำลังเตรียมรับมือกับความท้าทายและพยายามแข่งขันกับแบรนด์ต่างประเทศและสินค้านำเข้าที่ครองตลาด โดยพวกเขาจะพยายามคว้าส่วนแบ่งการตลาดในประเทศให้มั่นคง ทั้งนี้ ตามข้อมูลของสหพันธ์ผู้ผลิตรองเท้าเมียนมา สหพันธ์จะพยายามคว้าส่วนแบ่งการตลาดจากแบรนด์ต่างประเทศที่ครองส่วนแบ่งในตลาดในประเทศประมาณ 75 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ดี U Kan Nyunt ประธานสหพันธ์กล่าวว่า รองเท้าบางรุ่นมีแบรนด์ของตัวเอง ผู้ผลิตต้องให้ความสำคัญกับการควบคุมคุณภาพและการรับประกันเพื่อรักษาชื่อเสียงของแบรนด์ที่แข็งแกร่งและได้รับความชื่นชมจากลูกค้า พวกเขาต้องให้ความสำคัญกับความทนทาน คุณภาพ และความสบายของรองเท้าที่เหมาะสม หากแบรนด์ไม่สามารถรับประกันความทนทานได้ ชื่อเสียงของแบรนด์ก็จะลดลงอย่างแน่นอน ผู้ผลิตต้องให้การรับประกันรองเท้าอย่างน้อย 2 เดือนและครอบคลุมข้อบกพร่องในการผลิต ถือเป็นการส่งเสริมตลาดอย่างหนึ่ง ในปัจจุบัน ตลาดสามารถเข้าถึงกาวติดรองเท้าแบบน้ำที่ผลิตในประเทศได้แทนที่จะนำเข้า โดยบริษัทจัดหาวัตถุดิบในประเทศร้อยละ 85 และจากต่างประเทศเพียงร้อยละ 15 เท่านั้น และมีแผนที่จะจัดจำหน่ายรองเท้าภายใต้โลโก้ Made in Myanmar

ที่มา : http://• https://www.gnlm.com.mm/myanmar-footwear-industry-striving-to-dominate-domestic-market/

ท่าเรือย่างกุ้งรองรับเรือคอนเทนเนอร์ 173 ลำในไตรมาสแรก

การท่าเรือเมียนมาประกาศว่า เรือขนส่งสินค้า 62 ลำมีกำหนดเข้าเทียบท่าที่ท่าเรือย่างกุ้งในเดือนเมษายน ทำให้ไตรมาสแรกของปี 2568 (เดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม) มีเรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์รวม 173 ลำมาถึงท่าเรือย่างกุ้ง อย่างไรก็ดี ในปี 2024 ท่าเรือย่างกุ้งรองรับเรือขนส่งสินค้าทั้งหมด 633 ลำ และ 629 ลำในปี 2023 ตามลำดับ นอกจากนี้ คำแถลงของสำนักงานท่าเรือเมียนมา ตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2022 เรือเดินทะเลระหว่างประเทศสามารถเข้าถึงท่าเรือด้านในได้ หลังจากพบช่องทางเดินเรือใหม่ (Kings Bank Channel) ที่เข้าถึงแม่น้ำย่างกุ้งด้านในแล้ว ทำให้ท่าเรือสามารถรองรับเรือขนาดใหญ่ขึ้นได้ โดยเรือขนส่งสินค้า MV SITC Zhaoming (LOA 185.99 เมตร, คาน 35.25 เมตร, 29,232 GRT และ 2,698 TEU) ของบริษัท SITC Shipping Line ซึ่งมีฐานอยู่ในฮ่องกง ได้เข้าเทียบท่าที่ท่าเรือ Asia World เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ซึ่งถือเป็นเรือลำใหญ่ที่สุดที่ท่าเรือ AWPT เคยเข้าเทียบท่า

ที่มา : http://• https://www.gnlm.com.mm/yangon-port-handles-173-container-vessels-in-q1/

ธุรกิจเวียดนามในเมียนมา รับศึกหนัก! หลังรับแรงกระแทกจากแผ่นดินไหว

สำนักงานการค้าเวียดนามในเมียนมา รายงานว่าแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงขนาด 7.7 ริกเตอร์ ในเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม กิจการและบริษัทต่างๆ ของเวียดนาม ทั้งหมดปลอดภัย แต่กิจกรรมการค้ายังคงเผชิญกับอุปสรรคหลากประการ ทั้งนี้ คุณเหงียน เซือง เกียน (Nguyen Duong Kien) ที่ปรึกษาด้านการค้าของสำนักงานการค้าเวียดนามในเมียนมา กล่าวว่าความเสียหายทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น กำแพงถล่ม และไฟฟ้าดับ ส่งผลต่อระบบโทรคมนาคม ซึ่งสร้างอุปสรรคต่อการค้าระหว่างประเทศ

นอกจากนี้ เศรษฐกิจเมียนมา มีความเปราะบางจากความขัดแย้งภายในประเทศ รวมถึงปัญหาขาดแคลนไฟฟ้า ทำให้ธุรกิจต่างๆ จำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องผลิตไฟฟ้าที่มีราคาแพง ส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานสูงขึ้น

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vietnam-companies-in-myanmar-face-more-challenges-after-earthquake-post312531.vnp

“BFG” ส่งต่างชาติร่วมแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลับประเทศ อีกกว่า 7 พันคน พบ ‘ชาวจีน’ มากสุด

วันที่ 26 ก.พ.68 หลังจากที่ กองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง BGF ออกปฏิบัติการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์ ในพื้นที่ เมืองชเวก๊กโก่ เมืองเมียวดี และเมืองเคเคปาร์ค ล่าสุด พบว่า สามารถรวบรวมชาวต่างชาติ รวมจำนวน 7,141 คน แบ่งเป็นชาย 6,716 คน หญิง 425 คน จำนวน 29 สัญชาติ โดยพบว่าเป็นคนจีนมากที่สุด จำนวน 4,860 คน อันดับสองรองลงมาเป็นคนเวียดนาม จำนวน 572 คน, 3.อินเดีย จำนวน 526 คน, 4.เอธิโอเปีย จำนวน 430 คน, 5.อินโดนีเซีย จำนวน 283 คน, 7.ฟิลิปปินส์ จำนวน 127 คน, 8.มาเลเซีย จำนวน 70 คน, 9.ปากีสถาน จำนวน 78 คน, 10.เคนยา จำนวน 64 คน ,11.ไต้หวัน จำนวน 25 คน, 12.เนปาล จำนวน 17 คน,13.แอฟริกาใต้ จำนวน 17 คน, 14.ยูกันดา จำนวน 13 คน, 15.แอฟริกา จำนวน 9 คน, 16.ศรีลังกา จำนวน 8 คน, 17.อุซเบกิสถาน จำนวน 8 คน, 18.ไนจีเรีย จำนวน 7 คน, 19.กานา จำนวน 6 คน, 20.แคเมอรูน จำนวน 6 คน ,21.บังคลาเทศ จำนวน 6 คน, 22.นามีเบีย จำนวน 4 คน, 23.รวันดา จำนวน 4 คน, 24.ตูนีเซีย จำนวน 3 คน, 25.เชค จำนวน 2 คน, 26.ลาว จำนวน 1 คน, 27.โรมาเนีย จำนวน 1 คน, 28.แอลจีเรีย จำนวน 1 คน และ 29.สิงคโปร์ จำนวน 1 คน โดยทั้งหมดทางกองกำลัง BGF ได้สอบถามความสมัครใจในการเดินทางกลับประเทศ พบว่าต้องการกลับประเทศทั้งหมด จึงได้จัดทำรายชื่อส่งผ่านรัฐบาลเมียนมา ประสานรัฐบาลไทยและสถานฑูตต่างๆ เพื่อเร่งดำเนินการส่งทุกคนกลับประเทศต้นทาง ต่อไป

ที่มา : https://www.dailynews.co.th/news/4436957/