ธุรกิจเวียดนามในเมียนมา รับศึกหนัก! หลังรับแรงกระแทกจากแผ่นดินไหว

สำนักงานการค้าเวียดนามในเมียนมา รายงานว่าแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงขนาด 7.7 ริกเตอร์ ในเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม กิจการและบริษัทต่างๆ ของเวียดนาม ทั้งหมดปลอดภัย แต่กิจกรรมการค้ายังคงเผชิญกับอุปสรรคหลากประการ ทั้งนี้ คุณเหงียน เซือง เกียน (Nguyen Duong Kien) ที่ปรึกษาด้านการค้าของสำนักงานการค้าเวียดนามในเมียนมา กล่าวว่าความเสียหายทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น กำแพงถล่ม และไฟฟ้าดับ ส่งผลต่อระบบโทรคมนาคม ซึ่งสร้างอุปสรรคต่อการค้าระหว่างประเทศ

นอกจากนี้ เศรษฐกิจเมียนมา มีความเปราะบางจากความขัดแย้งภายในประเทศ รวมถึงปัญหาขาดแคลนไฟฟ้า ทำให้ธุรกิจต่างๆ จำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องผลิตไฟฟ้าที่มีราคาแพง ส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานสูงขึ้น

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vietnam-companies-in-myanmar-face-more-challenges-after-earthquake-post312531.vnp

“BFG” ส่งต่างชาติร่วมแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลับประเทศ อีกกว่า 7 พันคน พบ ‘ชาวจีน’ มากสุด

วันที่ 26 ก.พ.68 หลังจากที่ กองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง BGF ออกปฏิบัติการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์ ในพื้นที่ เมืองชเวก๊กโก่ เมืองเมียวดี และเมืองเคเคปาร์ค ล่าสุด พบว่า สามารถรวบรวมชาวต่างชาติ รวมจำนวน 7,141 คน แบ่งเป็นชาย 6,716 คน หญิง 425 คน จำนวน 29 สัญชาติ โดยพบว่าเป็นคนจีนมากที่สุด จำนวน 4,860 คน อันดับสองรองลงมาเป็นคนเวียดนาม จำนวน 572 คน, 3.อินเดีย จำนวน 526 คน, 4.เอธิโอเปีย จำนวน 430 คน, 5.อินโดนีเซีย จำนวน 283 คน, 7.ฟิลิปปินส์ จำนวน 127 คน, 8.มาเลเซีย จำนวน 70 คน, 9.ปากีสถาน จำนวน 78 คน, 10.เคนยา จำนวน 64 คน ,11.ไต้หวัน จำนวน 25 คน, 12.เนปาล จำนวน 17 คน,13.แอฟริกาใต้ จำนวน 17 คน, 14.ยูกันดา จำนวน 13 คน, 15.แอฟริกา จำนวน 9 คน, 16.ศรีลังกา จำนวน 8 คน, 17.อุซเบกิสถาน จำนวน 8 คน, 18.ไนจีเรีย จำนวน 7 คน, 19.กานา จำนวน 6 คน, 20.แคเมอรูน จำนวน 6 คน ,21.บังคลาเทศ จำนวน 6 คน, 22.นามีเบีย จำนวน 4 คน, 23.รวันดา จำนวน 4 คน, 24.ตูนีเซีย จำนวน 3 คน, 25.เชค จำนวน 2 คน, 26.ลาว จำนวน 1 คน, 27.โรมาเนีย จำนวน 1 คน, 28.แอลจีเรีย จำนวน 1 คน และ 29.สิงคโปร์ จำนวน 1 คน โดยทั้งหมดทางกองกำลัง BGF ได้สอบถามความสมัครใจในการเดินทางกลับประเทศ พบว่าต้องการกลับประเทศทั้งหมด จึงได้จัดทำรายชื่อส่งผ่านรัฐบาลเมียนมา ประสานรัฐบาลไทยและสถานฑูตต่างๆ เพื่อเร่งดำเนินการส่งทุกคนกลับประเทศต้นทาง ต่อไป

ที่มา : https://www.dailynews.co.th/news/4436957/

การนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าและจักรยานยนต์ไฟฟ้าช่วยกระตุ้นการโอนเงินกลับของพลเมืองที่ทำงานในต่างประเทศ

กระทรวงพาณิชย์เมียนมา ได้ริเริ่มโครงการพิเศษที่อนุญาตให้พลเมืองเมียนมาที่ทำงานในต่างประเทศสามารถนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าและจักรยานยนต์ไฟฟ้าได้ หากพวกเขาส่งเงินรายได้ส่วนหนึ่งกลับไปยังเมียนมาผ่านสถาบันการเงินอย่างเป็นทางการ โดยที่หากพลเมืองเมียนมารวมทั้งคนเดินเรือโอนเงินเดือนหรือรายได้ในต่างประเทศของตนมากกว่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ไปยังธนาคารในประเทศ พวกเขาจะมีสิทธิ์นำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า 1 คันซึ่งมีมูลค่าเทียบเท่ากับร้อยละ 5 ของเงินโอนเข้าต่อปี และหากเงินโอนของบุคคลใดไม่ถึงจำนวนเงินที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าหรือมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า พวกเขาสามารถนำเข้าได้พร้อมกัน นโยบายการนำเข้านี้มีขึ้นเพื่อส่งเสริมการนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้และกระตุ้นยอดขายเพื่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ เมียนมายังมีสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด 19 แห่งใน 3 เมืองใหญ่ รวมถึง 4 แห่งในเนปิดอว์ และ 5 แห่งในย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ และทางด่วนย่างกุ้ง-มัณฑะเลย์

ที่มา : http://• https://www.gnlm.com.mm/evs-e-bikes-import-push-to-boost-migrant-remittances/

เมียนมากวาดรายได้ 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐจากการส่งออกพืชตระกูลถั่วต่างๆ ทุกปี

ตามข้อมูลของกรมการค้า กระทรวงพาณิชย์เมียนมา การส่งออกพืชตระกูลถั่วต่างๆ ของเมียนมามีส่วนสนับสนุนรายได้ประมาณ 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี โดยรายได้จากการส่งออกพืชตระกูลถั่วของเมียนมาคิดเป็น 38 เปอร์เซ็นต์ของการส่งออกผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งสร้างรายได้มากกว่า 1,000-1,500 ล้านดอลลาร์ต่อปี เมียนมาเป็นหนึ่งในผู้ผลิตถั่วรายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งภาคการเกษตรของเมียนมามีส่วนสนับสนุนผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศมากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ เมียนมามีพื้นที่ปลูกข้าวเปลือกมากกว่า 17 ล้านเอเคอร์และพื้นที่ปลูกพืชตระกูลถั่วและถั่ว 10 ล้านเอเคอร์ในประเทศ ซึ่งพืชตระกูลถั่วและถั่วเป็นผลผลิตที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ และครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ระหว่างวันที่ 1 เมษายนถึง 19 กรกฎาคมของปีงบประมาณปัจจุบัน 2024-2025 การส่งออกพืชตระกูลถั่วต่างๆ ของเมียนมามีจำนวนมากกว่า 775,290 ตัน มูลค่า 669.89 ล้านดอลลาร์ ซึ่งประกอบด้วยการส่งออกทางทะเล มากกว่า 748,600 ตัน มูลค่า 647.7 ล้านดอลลาร์ และการส่งออกผ่านชายแดน มากกว่า 26,600 ตัน มูลค่า 22 ล้านดอลลาร์ เมียนมาเป็นผู้ส่งออกถั่วดำ ถั่วมะแฮะ และถั่วเขียวรายใหญ่ที่สุด พื้นที่เพาะปลูกคิดเป็นร้อยละ 72 ของพื้นที่เพาะปลูกถั่วทั้งหมด และปลูกถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วสีเนย ถั่วข้าว ถั่วลันเตา และถั่วชนิดอื่นๆ ในพื้นที่เพาะปลูกร้อยละ 28 ของพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมด

ที่มา : http://• https://www.gnlm.com.mm/myanmar-bags-us1-5b-from-various-pulses-exports-yearly/

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทยเยือนเมียนมา หารือความมั่นคง ป้องกันอาชญากรรม และขยายเศรษฐกิจ

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย เดินทางเยือนเมียนมาเพื่อหารือระดับสูงด้านความมั่นคง การป้องกันอาชญากรรม และการพัฒนาเศรษฐกิจ การเยือนครั้งนี้จัดขึ้นตามคำเชิญของนายตัน สเว รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของเมียนมา โดยมีการพบปะกับเจ้าหน้าที่ระดับสูง อาทิ พลเอกอาวุโส มิน ออง หล่าย ซึ่งการหารือครอบคลุมถึงอาชญากรรมข้ามชาติ โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันที่จะเสริมสร้างการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรองและความพยายามในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อปราบปรามการค้ายาเสพติด การฉ้อโกงทางออนไลน์ และการค้ามนุษย์ ทางการไทยได้ดำเนินการเพื่อปราบปรามการหลอกลวงทางโทรศัพท์ที่มุ่งเป้าไปที่พลเมืองของไทย ในขณะเดียวกันก็มีแผนที่จะปฏิบัติการร่วมกันเพื่อปราบปรามเครือข่ายอาชญากรข้ามพรมแดน  อย่างไรก็ดี ทั้งสองประเทศยังได้หารือถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเน้นที่มลพิษจากหมอกควันข้ามพรมแดน ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศในภาคเหนือของประเทศไทยและเมียนมา นอกจากนี้ ยังได้หารือเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรน้ำ โดยทั้งสองฝ่ายพยายามปรับปรุงการป้องกันน้ำท่วมและรับรองการใช้น้ำอย่างยั่งยืน ความมั่นคงชายแดนและความร่วมมือทางเศรษฐกิจเป็นหัวข้อสำคัญ โดยมีการหารือเกี่ยวกับการรักษาเสถียรภาพในพื้นที่เสี่ยงต่อความขัดแย้งและการขยายการค้าและการลงทุนข้ามพรมแดน โครงการโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศได้รับการเน้นย้ำในฐานะส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการพัฒนาภูมิภาค

ที่มา : https://www.pattayamail.com/thailandnews/thai-foreign-minister-visits-myanmar-for-security-crime-prevention-and-economic-expansion-talks-491818

ความคืบหน้าการเตรียมการโรงงานผลิตน้ำมันรำข้าวใน ปาวตี่ และ เมียวมยา

สหพันธ์ข้าวเมียนมารายงานว่า โรงงานผลิตน้ำมันรำข้าวและน้ำมันปรุงอาหาร แห่งแรกของเมียนมามีแผนจะสร้างขึ้นที่เมืองปาวตี่ และเมืองเมียวมยา เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นำโดย MRF ซึ่งเริ่มต้นโครงการโรงงานผลิตน้ำมันรำข้าวและน้ำมันปรุงอาหารแห่งแรกของเมียนมาที่โรงสีข้าว MAPCO ในเมืองเนปิดอว์ อำเภอปยีน มานา “โรงงานผลิตน้ำมันรำข้าวในเนปิดอว์กำลังจะสร้างเสร็จและเหลือเพียงงานตรวจสอบเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีแผนสร้างโรงงานอื่นๆ ในเมืองปาวตี่และเมืองเมียวมยา และได้ยินมาว่ามีแผนจะ สร้างโรงงานที่คล้ายกันในย่างกุ้งด้วย” ตามแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับ MRF โรงงานในเนปิดอว์ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างมีกำลังการผลิตน้ำมันดิบ 9,000 ตันและน้ำมันปรุงอาหาร 6,300 ตัน รวมเป็นประมาณ 15,300 ตันต่อปี โดยมีแผนที่จะสร้างโรงงานทั้งหมด 10 แห่งในภูมิภาคอิรวดี ย่างกุ้ง และพะโค รวมถึงเนปิดอว์ในอนาคต ผลผลิตของพืชเหล่านี้จะขายในตลาดภายในประเทศและส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และประเทศในยุโรป หากมีส่วนเกิน

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/rice-ban-oil-and-cooking-oil-factories-under-preparation-in-paungde-and-myaungmya/

สมาคมเฟอร์นิเจอร์ไม้ของเมียนมาเรียกร้องให้มีการปรับปรุงขั้นตอนการส่งออก

สมาคมเฟอร์นิเจอร์ไม้ของเมียนมา (MWBFA) ได้เรียกร้องให้ผ่อนปรนขั้นตอนการส่งออกเฟอร์นิเจอร์และพื้นไม้มูลค่าเพิ่มที่ผลิตในประเทศซึ่งมีมูลค่าต่ำกว่า 500 เหรียญสหรัฐฯ ไปยังกรมป่าไม้ นายออง จอ โม รองประธานสมาคมกล่าว “MWBFA เรียกร้องให้ลดขั้นตอนที่ยุ่งยากของกรมป่าไม้ลง เพื่อจะได้ไม่ต้องขอใบอนุญาตจากกรมที่เกี่ยวข้อง หากเฟอร์นิเจอร์ เช่น เก้าอี้ โต๊ะ มีมูลค่าต่ำกว่า 500 เหรียญสหรัฐ เราส่งออกเฟอร์นิเจอร์ไม้สักคุณภาพสูงเป็นหลัก รวมถึงพื้นไม้ปาร์เก้ที่ใช้แทนไม้ปาร์เก้ พื้นไม้ปาร์เก้ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง ไม้สน และไม้ยางพารา” เขากล่าวเพิ่มเติมว่า ทุกปี เมียนมาส่งออกเฟอร์นิเจอร์และพื้นไม้มูลค่าเพิ่มไปยังอินเดีย สิงคโปร์ และญี่ปุ่น อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ในประเทศจัดหาแหล่งวัตถุดิบรวมทั้งไม้สักผ่านการประมูลของบริษัท Myanma Timber Enterprise นอกจากนี้ MWBFA ยังจัดทำข้อตกลงการขายไม้กับบริษัท Myanma Timber Enterprise โดยบริษัทของรัฐมีสิทธิ์ตามกฎหมายในการขายผลิตภัณฑ์ไม้มูลค่าเพิ่มเชิงพาณิชย์ที่ผลิตโดย MWBFA โดยติดโลโก้ MTE บริษัทจะขายผลิตภัณฑ์เหล่านี้ต่อให้กับแผนก โรงแรม หรือผู้ซื้อในประเทศ

ที่มา : https://www.mdn.gov.mm/en/mwbfa-urges-streamlined-export-procedures

กรมแผนการขนส่งเร่งรัดให้การออกใบอนุญาตผู้ประกอบการภายในประเทศง่ายขึ้น

กรมการขนส่งภายใต้กระทรวงคมนาคมและการสื่อสาร แจ้งว่ากระบวนการต่ออายุและแก้ไขใบอนุญาตผู้ประกอบการในประเทศจะเป็นแบบดิจิทัล โดยจะเริ่มทดลองใช้ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2025 ที่สำนักงานต่างๆ ในภูมิภาคย่างกุ้ง และมัณฑะเลย์ โดย กรมฯ กำลังวางแผนที่จะเปลี่ยนกระบวนการออกใบอนุญาตให้เป็นแบบดิจิทัลสำหรับใบอนุญาตผู้ประกอบการในประเทศที่ออกภายใต้กฎหมายการดำเนินการขนส่งทางถนน พ.ศ. 2559 เพื่ออำนวยความสะดวกในกระบวนการและปรับปรุงขั้นตอนการทำงาน นอกจากนี้ กรมจะให้บริการเต็มรูปแบบโดยใช้ระบบดิจิทัลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 โดยขอให้ผู้ประกอบการขนส่งให้ความร่วมมือในเรื่องนี้ บุคคลทั่วไปสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ www.dotp.gov.mm  อย่างไรก็ดี ภายใต้การอนุมัติจากการประชุมครั้งที่ 6/2024 ของรัฐบาลกลาง U Thint Myat Thu อธิบดีกรมและ U Tun Tun Win ซีอีโอของ Secure Link Co. Ltd. ได้ลงนามในข้อตกลงเพื่อดำเนินการออกใบอนุญาตโดยอัตโนมัติเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2024 ณ ห้องประชุมของกรมฯ ในเนปิดอว์ ตามข้อตกลงดังกล่าว กระบวนการต่ออายุและแก้ไขใบอนุญาตผู้ประกอบการในประเทศในรูปแบบดิจิทัลจะเริ่มดำเนินการในสำนักงานต่างๆ ในภูมิภาคย่างกุ้งและมัณฑะเลย์ภายในหกเดือนหลังจากสร้างระบบเสร็จ ขั้นที่สอง ได้แก่ การออกใบอนุญาตผู้ประกอบการในประเทศผ่านทางเว็บไซต์ เว็บพอร์ทัล และมือถือ (iOS/Android) ในทุกสำนักงานในภูมิภาคและรัฐต่างๆ ซึ่งภายในหกเดือนข้างหน้า ประชาชนสามารถรับบริการออกใบอนุญาตออนไลน์ของกรมได้

ที่มา : http://• https://www.gnlm.com.mm/transport-planning-dept-to-simplify-domestic-operator-licensing/#article-title

ธนาคารกลางเมียนมา อัดฉีดเงิน 23 ล้านเหรียญเข้าสู่ภาคส่วนน้ำมันเชื้อเพลิง

ธนาคารกลางเมียนมา (CBM) ประกาศเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 ว่าจะอัดฉีดเงิน 23 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เข้าสู่ภาคส่วนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยวันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางเมียนมา ขายเงิน 490,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และ 500,000 หยวน มากกว่าเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 105,900 หยวน และเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 500,000 หยวน สำหรับในเดือนมกราคม 2025 ที่ผ่านมาธนาคารกลางเมียนมา อัดฉีดเงิน 124 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 13.8 ล้านบาท และ 4.8 ล้านหยวน เข้าสู่ตลาดการเงิน อย่างไรก็ดี ธนาคารกลางเมียนมา มีเป้าหมายที่จะควบคุมความไม่มั่นคงในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและการลดค่าเงิน ตามประกาศของ ธนาคารกลางเมียนมา เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2567 ธนาคารได้ร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเพื่อปราบปรามและดำเนินคดีผู้ที่พยายามบิดเบือนตลาดสกุลเงินภายใต้กฎหมายที่มีอยู่ รวมถึงอนุญาตให้ตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับอนุญาต (ธนาคารเอกชน) ดำเนินการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศออนไลน์ได้อย่างอิสระตามอัตราตลาดขึ้นอยู่กับอุปทานและอุปสงค์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2566

ที่มา : http://• https://www.gnlm.com.mm/cbm-to-pump-23m-into-fuel-oil-sector/#article-title

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เมียนมา ชวนนักธุรกิจขยายเครือข่าย MSME

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เมียนมา กล่าวถึง งานมหกรรมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมระดับสหภาพครั้งที่ 78 ซึ่งจะจัดขึ้นใกล้กับเจดีย์อุปปาตสันติ เมืองเนปิดอว์ ระหว่างวันที่ 10 ถึง 14 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งผู้ประกอบการสามารถติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานการเข้าถึงตลาดในประเทศ หน่วยงานสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ และหน่วยงานจัดหาเงินทุนเพื่อเข้าร่วมการจับคู่ธุรกิจ วาระการประชุมจะประกาศไว้ในเว็บไซต์ของกระทรวงพาณิชย์ โดยวัตถุประสงค์ของงานมหกรรมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมระดับสหภาพครั้งนี้คือเพื่อส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้เติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ส่งเสริมผลิตภัณฑ์หนึ่งภูมิภาคหนึ่งผลิตภัณฑ์จากแต่ละภูมิภาคและรัฐ มีความสามารถในการพึ่งพาตนเองของสินค้าที่จำหน่ายได้ กระตุ้นการส่งออก สำรวจผลิตภัณฑ์และตลาดที่มีศักยภาพใหม่ และขยายตลาดในต่างประเทศ

ที่มา : http://• https://www.gnlm.com.mm/moc-invites-businesspeople-to-grow-msme-network/