การค้าต่างประเทศของเมียนมาทะลุ 27 พันล้านดอลลาร์ใน 11 เดือน

ตามการระบุของกระทรวงพาณิชย์ การค้าภายนอกของเมียนมากับพันธมิตรต่างประเทศมีมูลค่ามากกว่า 27.758 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ วันที่ 1 มีนาคม ในปีงบประมาณปัจจุบัน พ.ศ. 2566-2567 ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน โดยที การส่งออกของเมียนมามีมูลค่ามากกว่า 13.378 พันล้านดอลลาร์ ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 14.379 พันล้านดอลลาร์ ระหว่างวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2566 ถึง 1 มีนาคม พ.ศ. 2567 อย่างไรก็ดี มูลค่าการค้าทางทะเลของเมียนมาในปีงบประมาณนี้เกินกว่า 20.55 พันล้านดอลลาร์ ในขณะที่การค้าชายแดนมีมูลค่า 7.207 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งตัวเลขการค้าในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมาลดลงกว่า 3.605 พันล้านดอลลาร์ หากเทียบกับที่บันทึกไว้ในช่วงเดียวกันของปีงบประมาณที่แล้วที่มีมูลค่าการค้าอยู่ที่ 31.36 พันล้านดอลลาร์

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/myanmar-foreign-trade-surpasses-us27b-in-11-months/

เมียนมาเข้าร่วมการประชุมโอกาสการลงทุนและธุรกิจที่เวียดนาม

กระทรวงการต่างประเทศเมียนมา (MoFA) รายงานว่า เมียนมาเข้าร่วมการประชุมเรื่องการลงทุนและโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 8 มีนาคม ณ เมืองฮาลอง จังหวัดกว๋างนิงห์ ประเทศเวียดนาม ด้าน U Soe Ko Ko อุปทูตชั่วคราวประจำเวียดนาม เป็นตัวแทนของเมียนมาในงานนี้ตามคำเชิญของหอการค้าและอุตสาหกรรมเวียดนาม อย่างไรก็ดี ก่อนเริ่มการประชุม U Soe Ko Ko ได้พบกับนาย Cao Tuong Huy ประธานคณะกรรมการประชาชนจังหวัดกว๋างนิงห์ ในระหว่างการหารือ U Soe Ko Ko เสนอการเสริมสร้างความร่วมมือทวิภาคีในด้านการค้าและการค้า การเกษตร การท่องเที่ยว และการส่งออกเครื่องนุ่งห่ม โดยคาดว่าจะครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตทวิภาคีในปีหน้า นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตและผู้แทนการค้าจากสถานทูตต่างประเทศในกรุงฮานอยก็เข้าร่วมงานด้วย

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/myanmar-attends-investment-business-opportunities-meeting-in-viet-nam/

การส่งออกจากภาคการผลิตทะลุ 8.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ วันที่ 1 มีนาคม

สถิติของกระทรวงพาณิชย์เผยว่ามูลค่าการส่งออกจากภาคการผลิตมีมูลค่า 8.28 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ วันที่ 1 มีนาคมของปีงบประมาณปัจจุบัน พ.ศ. 2566-2567 ซึ่งลดลง 1.975 พันล้านดอลลาร์เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่มีส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมสำเร็จรูปมีมูลค่า 10.255 พันล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ดี เมียนมายังคงพลักดันภาคการส่งออก ภายใต้ยุทธศาสตร์การส่งออกแห่งชาติ (NES) พ.ศ. 2563-2568 เพื่อสนับสนุนการส่งออก ภาคส่วนที่มีลำดับความสำคัญของ NES ประกอบด้วยการผลิตทางการเกษตร เครื่องนุ่งห่มและเครื่องแต่งกาย อุปกรณ์อุตสาหกรรมและอิเล็กทรอนิกส์ ธุรกิจประมง ผลิตภัณฑ์จากป่าไม้ การผลิตและบริการดิจิทัล บริการโลจิสติกส์ การจัดการคุณภาพ บริการข้อมูลการค้า นวัตกรรม และภาคส่วนของผู้ประกอบการ

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/exports-from-manufacturing-sector-surpass-us8-2b-as-of-1-march/#article-title

แผนดำเนินการจ่ายไฟฟ้าให้กับหมู่บ้าน 900 แห่งทั่วประเทศในปี 2567

U Maung Win รองอธิบดีกรมพัฒนาชนบท ประกาศว่าขณะนี้ได้ดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อจ่ายไฟฟ้าให้กับหมู่บ้านทั้งหมด 900 แห่งทั่วประเทศผ่านระบบพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับบ้านขนาดเล็กด้วยงบประมาณ 20 พันล้านจ๊าดในปี 2567 โครงการได้เริ่มดำเนินการมาแล้ว ในปีงบประมาณ 2559-2560 เพื่อนำไฟฟ้ามาสู่หมู่บ้านที่อยู่ห่างจากระบบโครงข่ายแห่งชาติมากกว่า 10 ไมล์ อย่างไรก็ดี ในการดำเนินโครงการ จะให้ความสำคัญกับหมู่บ้านที่สามารถบริจาคเงินจำนวนหนึ่งให้กับต้นทุนได้ ปัจจุบัน หมู่บ้านประมาณ 10,000 แห่ง (500,000 หลังคาเรือน) ได้รับไฟฟ้าใช้แล้วภายใต้โครงการของธนาคารโลกระหว่างปีงบประมาณ 2559-2560 และปีงบประมาณ 2564-2565

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/plan-underway-to-provide-electricity-to-900-villages-across-nation-in-2024/

ธนาคารกลางเมียนมา ดำเนินการกับตัวแทนจำหน่ายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนด

ธนาคารกลางแห่งเมียนมาได้เพิกถอนใบอนุญาตของผู้ค้าเงินตราต่างประเทศ 4 รายเป็นการชั่วคราวเป็นเวลา 3 เดือน เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติภายใต้กฎหมายว่าด้วยการจัดการการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หลังจากมีการตรวจสอบทันที โดยตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับอนุญาตเหล่านี้ ได้แก่ Thura Nay Tun (ร้านรับแลกเงินที่มีชื่อเสียง), Lead Star Money Changer, Steber Group Money Changer และ Asia Shwe Thee Money Changer อย่างไรก็ดี การตรวจสอบได้ดำเนินการในย่างกุ้งเมื่อวันที่ 6 และ 8 มีนาคม โดยทีมงานร่วมที่นำโดยคณะกรรมการติดตามและกำกับดูแลตลาดทองคำและสกุลเงิน รวมถึงธนาคารกลางแห่งเมียนมา คณะกรรมการพัฒนาเมืองย่างกุ้ง ฝ่ายบริหารทั่วไป องค์กรบังคับใช้กฎหมาย นอกจากนี้ธนาคารกลางเมียนมา กำลังทำการตรวจสอบเคาน์เตอร์แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในสถานที่ว่าปฏิบัติตามคำสั่งภายใต้กฎหมายการจัดการการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศหรือไม่ และจะดำเนินการสุ่มตรวจสอบต่อไปตามข้อกำหนดภายใต้กฎหมาย

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/cbm-takes-administrative-action-against-4-non-compliant-foreign-exchange-dealers-by-suspending-their-licenses-for-3-months/#article-title

บังคลาเทศซื้อหัวหอมของเมียนมา โดยส่งออกทางทะเลเป็นหลัก

เจ้าของศูนย์ขายส่งหัวหอมในเมียนมาให้สัมภาษณ์ ว่า บังคลาเทศซื้อหัวหอมที่ปลูกในเมียนมาเพื่อเตรียมสต็อกไว้สำหรับเดือนรอมฎอน โดยที่การซื้อส่วนใหญ่จะส่งออกทางทะเล ทั้งนี้ ในเดือนตุลาคม 2023 ราคาหัวหอมอยู่ที่ประมาณ 2,600 จ๊าดต่อviss ในตลาดท้องถิ่น และเพิ่มขึ้น 500 จ๊าดต่อviss ในสามวัน เนื่องจากความต้องการของบังกลาเทศ อย่างไรก็ดี ปัจจุบันมีการผลิตหัวหอมมากมายในทุกพื้นที่ ราคาจึงลดลงในตลาดท้องถิ่น และยังไม่สามารถบอกได้แน่ชัดว่าราคาหัวหอมมีแนวโน้มจะลดลงอีกเท่าใด รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่านี่เป็นฤดูเก็บเกี่ยวในทุกภูมิภาคและรัฐ ผลผลิตจึงมีมากนอกจากนี้ ราคาต่อviss ที่เผยแพร่โดยศูนย์ขายส่งสินค้า Bayintnaung เมื่อวันที่ 11 มีนาคม หัวหอม seikphyu มีราคาอยู่ที่ 2800, 2700, 2600 และ 2200 จ๊าดต่อviss และหัวหอม Myingyan อยู่ที่ 2900 จ๊าดต่อviss

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/bangladesh-buys-myanmar-onions-exports-made-mainly-by-sea/

ราคาเนื้อหมูที่เพิ่มในเมียนมาขึ้นยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ราคาเนื้อหมูในเมียนมาเพิ่มสูงขึ้นระหว่างปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงสัปดาห์แรกของเดือนมีนาคม และราคาหมูทั้งตัวที่ตลาดขายส่งมัณฑะเลย์เพิ่มขึ้นจาก 8,000 จ๊าดเป็น 9,000 จ๊าดต่อviss โดยผู้เพาะพันธุ์หมูในเมือง Yamethin กล่าวว่า ราคาหมูในเมียนมากล่าวว่า สาเหตุสำคัญที่ราคาหมูสูงขึ้นไม่ได้มาจากการขนส่ง แต่เป็นผลจากอาหารสัตว์ที่มีราคาสูงขึ้น ซึ่งปัจจุบันอาหารสัตว์ราคาอยู่ที่ 40,000 จ๊าดต่อถุง โดยหากเป็นอาหารสำหรับลูกหมูราคาจะยิ่งสูงขึ้นอีก อย่างไรก็ดี ราคาอาหารสัตว์เริ่มขยับเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาและมีแนวโน้มที่จะยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ค้าต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น รวมถึงผู้บริโภคเองก็ต้องเผชิญกับราคาเนื้อหมูที่ปรับขึ้นด้วย

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/rising-pork-price-expected-to-increase-further-in-coming-days/#article-title

เมียนมาส่งออกถั่วพัลส์ 1.48 ล้านตัน มูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ใน 11 เดือน

สถิติของกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า เมียนมาส่งออกถั่วพัลส์มากกว่า 1.48 ล้านตัน มูลค่ากว่า 1.256 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับคู่ค้าต่างประเทศในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมาของปีงบประมาณปัจจุบันปี 2566-2567 ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน โดยแบ่งเป็นการส่งออกผ่านเส้นทางเดินเรือ คิดเป็นมูลค่า 1.131 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการส่งออกพัลส์มากกว่า 1.338 ล้านตัน ในขณะที่ส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านผ่านทางชายแดน กว่า 143,119.469 ตัน มูลค่า 124.722 ล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม เมียนมาส่งออกถั่วพัลส์หลากหลายประเภท ได้แก่ ถั่วดำ ถั่วเขียว และถั่วลันเตาไปยังตลาดต่างประเทศเป็นหลัก โดยที่ถั่วดำและถั่วลันเตาจะถูกส่งไปยังอินเดียเป็นหลัก ส่วนถั่วเขียวจะถูกส่งออกไปยังจีนและยุโรป นอกจากนี้ อินเดียมีความต้องการและการบริโภคถั่วดำและถั่วลันเตาเพิ่มมากขึ้น ตามบันทึกความเข้าใจระหว่างเมียนมาและอินเดียที่ลงนามเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2564 ซึ่งอินเดียจะนำเข้าถั่วดำจำนวน 250,000 ตัน และถั่วลันเตา จำนวน 100,000 ตันจากเมียนมาเป็นเวลาห้าปีติดต่อกัน ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564-2565 ถึงปีงบประมาณ พ.ศ. 2568-2569 ซึ่งสนธิสัญญา G-to-G นี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อโควตาประจำปีของถั่วพัลส์ที่อินเดียกำหนด ผู้ส่งออกของเมียนมายังมีสิทธิ์ส่งพัลส์ไปยังอินเดียภายใต้โควต้าประจำปีนั้น

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/myanmar-ships-1-48m-tonnes-of-pulses-worth-us1b-in-11-months/

รัฐมนตรีสหภาพแรงงานและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจต่างประเทศ เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ 30

คณะผู้แทนเมียนมานำโดย ดร.คาน ซอ รัฐมนตรีสหภาพแรงงานและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจต่างประเทศ เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ 30 ซึ่งจัดขึ้นที่หลวงพระบาง สปป.ลาว ระหว่างวันที่ 8-9 มีนาคม 2567 รัฐมนตรี โดยการประชุมดังกล่าวมีนายมาลัยทอง คมมสิต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ สปป. ลาว เป็นประธาน และมีรัฐมนตรีเศรษฐกิจจากอาเซียน และติมอร์เลสเต เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจ (SEOMs) และผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียน สมาชิกสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน เลขาธิการอาเซียน รองเลขาธิการประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และเจ้าหน้าที่ ในช่วงแรกของการประชุม สภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียนได้นำเสนอลำดับความสำคัญสำหรับปี 2567 และข้อเสนอแนะสำหรับการเสริมสร้างการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคและความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ส่วนในช่วงที่ 2 ของการประชุม รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้หารือและให้แนวทางกิจกรรมต่างๆ ที่จะดำเนินภายใต้เสาหลักเศรษฐกิจอาเซียน ตามผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 43 รวมถึง ลำดับความสำคัญสำหรับปี 2024 ประเด็นการลงนามข้อตกลงเศรษฐกิจอาเซียน ความคืบหน้าของการเจรจายกระดับความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน และ ความคืบหน้าของการเจรจากรอบความตกลงเศรษฐกิจอื่นๆ อย่างไรก็ดี เขายังแสดงความจำเป็นที่จะต้องเร่งการเจรจาเพื่อให้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (3.0) ยกระดับการเจรจาให้แล้วเสร็จภายในปี 2567 เกี่ยวกับการจัดตั้งหน่วยสนับสนุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) นอกจากนี้ รัฐมนตรีสหภาพเมียนมาเน้นย้ำว่า กำลังทำงานร่วมกับประเทศสมาชิก ในฐานะประเทศสมาชิก จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรักษาหลักการของความเสมอภาค พันธกรณีร่วมกัน และความเป็นศูนย์กลางของอาเซียน

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/mifer-union-minister-attends-30th-asean-economic-ministers-retreat-meeting/

เมียนมาส่งออกผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำมูลค่ากว่า 624 ล้านเหรียญสหรัฐในปีงบประมาณ 2566-2567

ตามรายงานของ U Nyunt Win ผู้อำนวยการกรมประมง (เนปิดอว์) ระหว่างเดือนเมษายน 2566 ถึงกุมภาพันธ์ 2567 ของปีการเงิน 2566-2567 เมียนมาส่งออกผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำมากกว่า 300 รายการไปยัง 45 ประเทศ สร้างรายได้กว่า 624.473 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีการส่งออกเป็นประจำไปยังประเทศญี่ปุ่น ประเทศในตะวันออกกลาง ประเทศในสหภาพยุโรป มาเลเซีย จีนไทเป และออสเตรเลีย อย่างไรก็ดี การส่งออกผลิตภัณฑ์ทางทะเลรวมจำนวน 435,000 ตัน มีช่องทางการส่งออกผ่านการขนส่งทางอากาศ และผ่านชายแดนเป็นหลัก ทั้งนี้ เนื่องจากการระงับเส้นทางการค้าชายแดนบางเส้นทางด้วยเหตุผลหลายประการ รายได้ในปีนี้จึงลดลง 52 ล้านเหรียญสหรัฐ หากเทียบกับยอดรวมของปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 676.528 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ กรมและผู้ส่งออกกำลังร่วมมือกันเพื่อตอบสนองความต้องการของแต่ละประเทศที่ซื้อผลิตภัณฑ์ทางทะเลจากเมียนมา เพื่อให้มั่นใจว่ามีการส่งออกอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องสอดคล้องกับความต้องการของตลาด ตัวอย่างเช่น จีนมีเกณฑ์การนำเข้าผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำที่เข้มงวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับสถานะปลอดเชื้อ COVID-19

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/myanmar-exports-aquatic-products-worth-over-us624m-in-2023-24-financial-year/