ดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อเนื่อง หวั่นกระทบส่งออกเมียนมา

ผู้ส่งออกเมียนมากังวลการค้าระหว่างประเทศและรายได้จากการส่งออกซึ่งได้รับผลกระทบจากความต้องการที่ลดลงและอัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง อัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงจากธนาคารกลางเมียนมา (CBM) ณ วันที่ 3 พฤศจิกายน อยู่ที่ 1,287.4 จัตต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งต่ำสุดในรอบ 2 ปี กระทรวงพาณิชย์ระบุว่าปริมาณการค้าในช่วงสามสัปดาห์แรกของปีงบประมาณปัจจุบันน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ที่ได้รับในช่วงเวลาเดียวกันของงบประมาณ 62-63 ตลาดส่งออกเริ่มแย่ลงจากพิษ COVID-19 ยังได้รับผลกระทบค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า หากยังลดลงอย่างนี้ผู้ส่งออกย่อมมีโอกาสขาดทุน รัฐบาลและ CBM จะต้องหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น นักวิเคราะห์การเงินคาดว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอาจยังคงต่ำกว่า 1300 จัตต่อดอลลาร์สหรัฐไปอีกระยะ ทั้งยังชี้ให้เห็นว่าการที่ธนาคารกลางสหรัฐได้พิมพ์และใช้เงินจำนวน 3 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมาและหากยังพิมพ์ธนบัตรต่อไปยิ่งทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงไปอีก

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/myanmar-exporters-concerned-over-falling-dollar-rate.html

รัฐบาลสปป.ลาวให้คำมั่นว่าจะลดการขาดดุลการคลังให้อยู่ในระดับเหมาะสม

รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะลดการขาดดุลการคลังให้เหลือเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ทุกปีเริ่มตั้งแต่ปี 2564-2568 คำมั่นสัญญาดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่สปป.ลาวกำลังพยายามลดหนี้สาธารณะและบรรเทาความตึงเครียดด้านงบประมาณที่ขาดดุลต่อเนื่องจากช่วงทศวรรษที่ผ่านมาสปป.ลาวมีโครงการลงทุนใหญ่มากมายไม่ว่าจะเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำหรือเมกาโปรเจกต์อย่างโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงจีน-สปป.ลาว ทำให้สปป.ลาวมีความเสี่ยงที่อาจผิดนัดชำระหนี้ต่อเจ้าหนี้และเงินคงคลังที่ไม่สมดุลกับรายจ่ายของประเทศทั้งนี้การที่จะลดการขาดแคลนงบประมาณ รัฐบาลจะต้องลดการใช้จ่ายซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในระยะยาวรัฐบาลจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ในการจัดการการขาดดุลและทำให้แน่ใจว่าหนี้ของประเทศอยู่ภายใต้การควบคุม ท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบันที่สปป.ลาวกำลังเผชิญกับความตรึงเครียดของเศรษฐกิจจากรระบาดของ COVID-19

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Govt216.php

ผู้ค้าข้าวในกัมพูชากล่าวถึงการถูกขัดขวางการส่งออกด้วยปัจจัยหลายประการ

กัมพูชาส่งออกข้าวประมาณ 30,000 ตัน ในช่วงปี 2009 และ ทางภาครัฐบาลกัมพูชาได้มีการใช้นโยบายในการช่วยกระตุ้นการส่งออกซึ่งในปัจจุบันกัมพูชามีการส่งออกข้าวสารโดยประมาณ 600,000 ตันต่อปี โดยในปี 2015 รัฐบาลตั้งเป้าหมายการส่งออกข้าวสารไว้ที่ 1 ล้านตัน ภายในปี 2020 ซึ่งคนวงการข้าวกล่าวว่าปัญหาต่างๆยังคงไม่ได้รับการแก้ไขมาหลายปี แม้จะมีการจัดตั้งคณะทำงานด้านเทคนิค (TWG) ด้านข้าวเมื่อ 5 ปีก่อน ไปจนถึงปัญหาด้านโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐานที่ยังคงต้องการได้รับการพัฒนาเพื่อให้อุตสาหกรรมการผลิตข้าวสามารถแข่งขันได้และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งระบบชลประทานของประเทศไม่ได้รับการออกแบบและจัดการที่ดีมากในอดีต โดยในปัจจุบันกัมพูชาส่งออกข้าวเปลือกที่ 536,305 ตัน ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2020 ซึ่งเป็นข้าวหอมประมาณ 421,132 ตัน ตามที่กระทรวงเกษตรระบุ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50779265/rice-exports-hindered-by-a-number-of-factors-says-an-insider/

บริษัทจัดการด้านพลังงานระดับโลกลงสนามอุสาหกรรมพลังงานภายในกัมพูชา

บริษัทจัดการพลังงานระดับโลก Eaton ประกาศว่าได้ร่วมมือกับ One Stop Solution Electric (OSS) ในฐานะตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับอนุญาตสำหรับผลิตภัณฑ์จัดการด้านพลังงานไฟฟ้าแรงต่ำที่จะจำหน่ายในตลาดกัมพูชา โดยความร่วมมือนี้จะเริ่มต้นในเดือนนี้และจะช่วยในการจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ และสร้างความน่าเชื่อถือสำหรับภาคการก่อสร้างที่เติบโตอย่างรวดเร็ว รวมทั้งรัฐบาลกัมพูชามีเป้าหมายที่จะขยายและนำส่งกระแสไฟฟ้าไปยังทั่วทั้งประเทศในอนาคต ซึ่ง OSS จะเป็นช่องทางการจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการของซีรี่ส์ Moeller ของ Eaton ในช่วงแรงดันไฟฟ้าต่ำ เช่น เบรกเกอร์ขนาดเล็กและอุปกรณ์ป้องกันไฟกระชาก โดยถือเป็นส่วนประกอบสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานการจัดการพลังงานของอาคาร ซึ่งผลิตภัณฑ์สำหรับตลาดไฟฟ้าในท้องถิ่นมีการเติบโตอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 2010 เนื่องจากรายงานความก้าวหน้าด้านพลังงานของธนาคารโลกที่เผยแพร่เมื่อปีที่แล้ว แสดงให้เห็นว่ากัมพูชาใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 8 ต่อปีตั้งแต่ปี 2010

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50779435/power-management-company-enters-market-promoting-reliability/

เกาะติด CLMV อีกหนึ่งคู่ค้าสำคัญของไทย

หลายฝ่ายปรับประมาณการการส่งออกในปีนี้ว่าอาจจะติดลบน้อยลงมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 7 จากเดิมที่คาดว่าจะติดลบร้อยละ 8-10 เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของคู่ค้าสำคัญของไทยนั้นปรับตัวดีขึ้นโดยเฉพาะจีน และหลายประเทศในเอเชีย อย่างไรก็ตามอีกตลาดสำคัญของไทยคือ กลุ่มประเทศ (CLMV) กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และ เวียดนาม ก็ต้องใส่ใจและติดตามอย่างใกล้ชิดด้วยเช่นกันว่าภาวะเศรษฐกิจในกลุ่มนี้นั้นฟื้นตัวได้ดีขนาดไหน มีกำลังซื้อสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้นหรือยัง ทั้งนี้เศรษฐกิจ CLMV ส่งสัญญาณฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในไตรมาสที่ 2 ของปี 2020 หลังเริ่มคลายมาตรการ lockdown ในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ปี 2020 แม้กัมพูชา และ สปป.ลาว สามารถควบคุมการระบาดได้สำเร็จ แต่เมียนมาและเวียดนาม กลับเผชิญการระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19 ในช่วงครึ่งหลังของปี 2020 โดยเวียดนาม กลับมาประกาศใช้มาตรการ lockdown ในบางพื้นที่และสามารถควบคุมการระบาดได้สำเร็จในเดือนสิงหาคม ขณะที่เมียนมายังคงได้รับผลกระทบอย่างมากจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกันยายน ทั้งนี้เศรษฐกิจ CLMV ยังคงฟื้นตัวช้าและไม่ทั่วถึง สำหรับการค้าชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาลาว และเมียนมา หดตัวน้อยลงทั้ง 3 ประเทศตามมูลค่าการค้าโดยรวมของไทยแม้ว่าจะยังมีข้อจำกัดต่างๆ ในด่านตรวจสินค้าชายแดนของไทย

ที่มา : https://www.naewna.com/business/columnist/45810

INFOGRAPHIC : เวียดนามเผยดัชนี CPI เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในเดือนต.ค.

สำนักงานสถิติเวียดนาม (GSO) เปิดเผยว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของเวียดนามในเดือนต.ค. เพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 0.09 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.47 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

ทั้งนี้ 6 ใน 11 รายการของกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ การศึกษา (1.35%), ที่พักอาศัยและวัสดุก่อสร้าง (0.29%), เครื่องดื่มและบุหรี่ (0.08%), เครื่องนุ่งห่มและรองเท้า (0.06%), ยาเวชภัณฑ์และบริการทางสุขภาพ (0.01%) และสินค้าและบริการอื่นๆ (0.09%) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของเดือนที่แล้ว ในขณะที่ อุปกรณ์ครัวเรือนอยู่ในระดับไม่เปลี่ยนแปลง

อีก 4 รายการที่ลดลง ได้แก่  บริการโทรคมนาคม (-0.03%), การขนส่ง (-0.08%), ภัตตาคารและการจัดบริการงานเลี้ยง (-0.13%) และวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว (-0.18%)

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/cpi-in-october-inches-up-009-percent/189664.vnp

สำรวจเศรษฐกิจกลุ่ม CLMV ยัง ‘ฟื้นตัว’ แตกต่างกันจากพิษโควิด-19

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและธุรกิจ (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ระบุว่า เศรษฐกิจกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ส่งสัญญาณฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 ปี 2563 หลังเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในช่วงเดือนพฤษภาคม ถึง มิถุนายน 2563 ทั้งนี้เศรษฐกิจ CLMV ยังคงฟื้นตัวช้าและไม่ทั่วถึง โดยระดับการฟื้นตัวที่แตกต่างกันมากขึ้นนั้น เป็นผลมาจากการฟื้นตัวแบบช้าๆ และไม่ทั่วถึงของเศรษฐกิจโลก อัตราว่างงานที่เพิ่มขึ้น ระดับการระบาดระลอกใหม่ของโรคโควิด-19 และประสิทธิภาพของมาตรการรองรับ รวมทั้งปัจจัยเฉพาะในรายประเทศที่มีแนวโน้มยืดเยื้อ โดยเศรษฐกิจเวียดนามกลับมาฟื้นตัวได้ดี ด้วยแรงหนุนจากการส่งออกที่แข็งแกร่ง ในขณะเดียวกันเศรษฐกิจลาวยังเผชิญแรงกดดันจากข้อจำกัดในการทำนโยบายการคลัง (Fiscal Space) และความเสี่ยงที่สูงขึ้นในประเด็นการผิดชำระหนี้ สำหรับเมียนมา การระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 และมาตรการล็อกดาวน์ที่กลับมาเข้มงวดขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจเมียนมามีแนวโน้มฟื้นตัวต่ำกว่าคาดการณ์ในปีงบประมาณ 2020/2021

ที่มา : https://thestandard.co/the-clmv-economic-survey-continued-to-recover/

โฮจิมินห์เปิดตัวแผนทางการเงิน ปี 2573

สำนักงานประจำนครโฮจิมินห์ ได้จัดทำแผนเกี่ยวกับการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ทางการเงินที่มี่เนื้อหาครอบคลุมแผนระดับชาติในปี 2563 มีวิสัยทัศน์ถึงปี 2573 โดยแผนดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ประชาชนและธุรกิจสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินได้อย่างปลอดภัย สะดวกและราคาไม่สูงนัก อย่างไรก็ตาม ภายในปี 2568 วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในเมืองอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง จะต้องกู้ยืมเงินจากสถาบันให้สินเชื่อ ด้วยหนี้ค้างชำระให้บริการทางการเกษตรและการพัฒนาชนบท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 7 ของหนี้คงค้างทั้งหมด นอกจากนี้ โฮจิมินห์มองว่าการบริการทางการเงินที่หลากหลาย จะช่วยอำนวยความสะดวกมากขึ้นแก่ผู้คนและธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ที่อาศัยอยู่ในชนบทและนอกเมือง รวมถึงกลุ่มที่มีรายได้น้อยและกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ยิ่งไปกว่านั้น การนำเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม จะช่วยให้ประเทศก้าวไปข้างหน้า

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/hcm-city-rolls-out-financial-plan-to-2030/189729.vnp

เวียดนามเผยเดือนต.ค. ภาคอุตสาหกรรมยังคงขยายตัว

จากการสำรวจของ HIS Markit เปิดเผยว่าในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ภาคการผลิตอุตสาหกรรมของเวียดนามจะฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) สำหรับภาคการผลิตของเวียดนามในเดือนต.ค. อยู่ที่ระดับ 51.8 จุด ถึงแม้ว่าดัชนีปรับตัวลดลงจาก 52.2 จุดในเดือนก.ย. แต่ยังคงอยู่ในทิศทางที่เป็นบวก อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในการควบคุมโควิด-19 ในเวียดนาม ช่วยให้ความต้องการซื้อของลูกค้ากลับมาฟื้นตัว และเป็นเหตุให้การสั่งซื้อใหม่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะเดียวกัน คำสั่งซื้อจากผู้ซื้อในต่างประเทศใหม่ ยังอยู่ในระดับไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากความต้องการลดลงในตลาดต่างประเทศที่ได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัสอย่างรุนแรง โดยเฉพาะยุโรป ในขณะเดียวกัน การระบาดของเชื้อไวรัส ส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานในเดือนต.ค. จากปัญหาระยะเวลาในการจัดส่งของซัพพลายเออร์ที่นานขึ้น การขาดแคลนของวัตถุดิบและสภาพอากาศที่ไม่เอื้อต่อการขนส่ง ทั้งนี้ นาย Andrew Harker ผู้อำนวยการด้านเศรษฐกิจศาสตร์ของ IHS Markit กล่าวว่าภาคอุตสาหกรรมของเวียดนามจะเริ่มฟื้นตัวในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ด้วยรากฐานที่มั่งคง และจากข้อมูลของดัชนีข้างต้น ชี้ให้เห็นว่าภาคอุตฯ ยังคงขยายตัวได้ดีตราบเท่าที่สามารถควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสได้ และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อนที่จะเกิดโรคระบาด การจ้างงานเริ่มส่งสัญญาฟื้นตัว

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/804155/vietnamese-manufacturing-continues-recovery-in-october.html

แผนแม่บทใหม่มุ่งสร้างการพัฒนาเมืองที่น่าอยู่

แผนแม่บทการพัฒนาเมืองฉบับใหม่จะช่วยให้ทางการสามารถตอบสนองต่อการเติบโตอย่างรวดเร็วของเวียงจันทน์ในอนาคตแต่การพัฒนาระบบต่างๆในแต่ละแขวงกลับไม่เป็นระเบียบ เนื่องจากขาดการวางแผนอย่างละเอียดทำให้ต้องเผชิญกับปัญหาระบบสาธารณูปโภคที่ไม่สามารถรองรับประชากรในพื้นที่ได้  รวมถึงปัญหาของการแออัดของรถยนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโยธาธิการและการขนส่งกล่าวในการประชุมสมัชชาแห่งชาติเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา “ถนนในเมืองหลวงไม่เป็นไปตามข้อกำหนดมาตรฐานในขณะที่พื้นที่สาธารณะยังไม่ได้รับการพัฒนาจึงจำเป็นต้องจัดทำแผนแม่บทใหม่เพื่อให้เวียงจันทน์ได้รับการยอมรับว่าเป็นเมืองที่น่าอยู่ในภูมิภาค” แผนแม่บทฉบับใหม่จะครอบคลุมพื้นที่ 61,600 เฮกตาร์และ 288 หมู่บ้านคิดเป็นร้อยละ 16 ของพื้นที่ดินของเมือง เวียงจันทน์มีประชากรเกือบหนึ่งล้านคนมีศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจและแนวโน้มจำนวนประชากรที่สูงขึ้น พื้นที่ในเมืองจะขยายไปสู่ชานเมืองตามถนนสายหลักอย่างรวดเร็ว หากไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงพอการแผ่ขยายออกไปในเมืองจะส่งผลให้มีสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่ดีและบริการทางสังคมที่ไม่เพียงพอ

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_New_215.php