นายกฯ คาดส่งออกข้าวปี 66 ทะลุ 8 ล้านตัน ดันไทยกลับเป็นที่ 2 ของโลก

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบรายงานความคืบหน้าการส่งออกข้าวของไทย และการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ข้าวไทยตั้งแต่ปี 2563-2567 ผลักดันไทยเป็นผู้นำด้านการผลิตและการตลาดข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวคุณภาพของโลก โดยนายกเชื่อมั่นว่าการส่งออกข้าวไทย ปี 2566 จะเป็นไปตามการคาดการณ์ ที่ยอดมากกว่า 8 ล้านตัน และไทยกลับมาเป็นอันดับที่ 2 ประเทศส่งออกข้าวของโลก ซึ่งยอดส่งออกข้าวในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2566 นี้ มีปริมาณสูงถึง 2.62 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 14.41 ด้านโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลผลักดันให้เกิดการกระชับสัมพันธ์คู่ค้าสำคัญ และการหากลุ่มลูกค้าใหม่ให้ครอบคลุมตลาดข้าวมากขึ้นมาโดยตลอด ซึ่งตลาดส่งออกข้าวที่สำคัญของไทย ได้แก่ อิรัก อินโดนีเซีย แอฟริกาใต้ สหรัฐอเมริกา และจีน ประกอบกับ ที่ผ่านมาไทยเพิ่มโอกาสทางการค้าด้วยการจัดคณะผู้แทนเดินทางไปกระชับความสัมพันธ์ เช่น ฮ่องกง จีน ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และแอฟริกาใต้ และเพิ่มโอกาสด้วยการเข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ เช่น งาน China–ASEAN Expo (จีน) งาน Fine Food (ออสเตรเลีย) และงาน ANUGA (เยอรมนี) เป็นต้น

ที่มา : https://www.naewna.com/business/740713

“EEC” ผนึกกำลัง “GBA” ขยายโอกาสการค้าการลงทุน ไทย-จีน

นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ อีอีซี เข้าร่วมปาฐกถาพิเศษภายในงาน ประชุมสัมมนาความร่วมมือเศรษฐกิจการค้าจีน (กวางตุ้ง) และไทย หรือ China (Guangdong) – Thailand Economic Cooperation Conference ซึ่งจัดโดยรัฐบาลมณฑลกวางตุ้ง ร่วมกับคณะกรรมการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมณฑลกวางตุ้ง หรือ CCPIT โดยมีนายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย นายหวัง เว่ย โจง ผู้ว่าการมณฑลกวางตุ้ง และนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ นักธุรกิจชั้นนำจากภาคเอกชนของทั้งประเทศไทย และประเทศจีน ถือเป็นการสร้างโอกาสความร่วมมือระหว่างเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของไทย และเขตความร่วมมือกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า (GBA) โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือด้านส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูง ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมพลังงานสะอาด เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว (BCG) เป็นต้น ซึ่งความร่วมมือ EEC ของไทย กับ GBA ของจีนครั้งนี้จะสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือของทั้งสองประเทศให้มีความแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น

ที่มา : https://www.tnnthailand.com/news/wealth/149853/

ธนินท์ ชวนนักธุรกิจชาวจีน ขยายการลงทุน ชูไทยเป็นศูนย์กลางอาเซียน

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ ในฐานะนายกสมาคมนักธุรกิจชาวจีนโพ้นทะเลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และประธานกิตติมศักดิ์ผู้ทรงเกียรติหอการค้าไทย-จีน ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานประชุมนักธุรกิจชาวจีนโลก (World Chinese Entrepreneurs Convention-WCEC) ครั้งที่ 16 ภายใต้ธีม “ร่วมสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยภูมิปัญญานักธุรกิจจีน” ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ว่าปัจจุบันโลกมีการเปลี่ยนแปลง และมีความไม่แน่นอน นักธุรกิจชาวจีนโพ้นทะเลจะต้องเป็นผู้ที่มองเห็นโอกาสจากวิกฤต เพราะในวิกฤตจะมีโอกาส ต้องวิเคราะห์โอกาส จะคว้าโอกาสนั้นได้อย่างไร ซึ่งโอกาสเกิดขึ้นการลงทุนและการพัฒนาศักยภาพของเทคโนโลยี และเชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางของอาเซียน และมีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยทั้งญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ได้ลงทุนที่ไทยเป็นฐานการผลิตหลัก จึงหวังว่านักลงทุนชาวจีนโพ้นทะเลทั่วโลก จะพิจารณามาลงทุนที่ไทย โดยเฉพาะการลงทุนในพื้นที่ EEC หรือเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก

ที่มา : https://www.thaipost.net/economy-news/403619/

ทางการไทยต่ออายุใบอนุญาตให้แรงงานกัมพูชากว่า 4 หมื่นคน

ทางการไทยตกลงต่ออายุใบอนุญาตทำงานให้กับแรงงานข้ามชาติชาวกัมพูชาเกือบ 40,000 คน หลังกรมแรงงานของทั้งสองประเทศทำงานร่วมกับและบรรลุข้อตกลง เพื่ออำนวยความสะดวกในการต่ออายุใบอนุญาตทำงานให้แก่แรงงานข้ามชาติผ่านระบบออนไลน์ เพื่อให้กระบวนการในการดำเนินการรวดเร็วขึ้นและไม่ยุ่งยาก ซึ่งตาม MoU ปัจจุบันกำหนดระยะเวลาต่อการออกใบอนุญาตทำงานไว้ที่ 4 ปี ต่อการต่ออายุ โดยทางการไทยขอให้ทางการกัมพูชาเร่งดำเนินการรับรองเอกสารข้อมูลส่วนบุคคลของแรงงานเพื่อต่ออายุใบอนุญาตการทำงาน ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวมีขึ้นหลังจากมีรายงานว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนแรงงานอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว บริการ การก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ และการแปรรูปอาหาร

ขณะที่ข้อมูลจากกระทรวงแรงงานและการฝึกอาชีพของกัมพูชา (MLVT) รายงานว่ากัมพูชามีแรงงานที่เดินทางไปทำงานยังต่างประเทศกว่า 1.3 ล้านคน ในจำนวนดังกล่าว 1.2 ล้านคน ทำงานในประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทยที่มีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 400 ดอลลาร์ต่อเดือน

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501314077/thailand-agrees-to-renew-permits-for-40000-cambodian-workers/

“ทุเรียนไทย” ส่งออกไปเวียดนามพุ่งทะยาน 10,000% ประตูใหม่สู่จีน

จากรายงานของกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-เม.ย.) การส่งออกทุเรียนและทุเรียนแช่แข็งของไทย มีมูลค่ารวมกันทั้งสิ้น 63,627 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 166% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยตลาดส่งออกรายใหญ่ที่สุด คือ ตลาดตจีนมีมูลค่า 62,068 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 170% จากปีก่อน รองลงมาฮ่องกงและไต้หวัน อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าตลาดเวียดนามเป็นตลาดอันดับ 10 ที่มีมูลค่าการส่งออกเพียง 0.15 ล้านบาท แต่เติบโต 10,769% ทั้งนี้ นายกีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ”ว่าสถานการณ์การส่งออกทุเรียนสดและแช่แข็งในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้น 100% อย่างไรก็ดีต้องทำการติดตามและประเมินถึงแนวโน้มครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะผลผลิตทุเรียนในภาคใต้ รวมไปถึงดูแลเรื่องการขนส่งผ่านด่านทางเวียดนามและสปป.ลาว เพื่อส่งออไปยังประเทศจีน

ที่มา : https://www.khaosodenglish.com/news/2023/06/24/thai-durian-exports-to-vietnam-soar-10000-as-new-gateway-to-china/

ทุเรียนไทยยอดนิยมตในจีน ส่งออก 5 เดือน 6 หมื่นล้าน

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีต่อผลประกอบการและตัวเลขการส่งออก ทุเรียนไทยซึ่งยังคงได้รับความนิยมต่อเนื่องในจีน พร้อมกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความสำคัญในการควบคุมและรักษาคุณภาพทุเรียนตามมาตรฐาน ตั้งแต่ต้นทางไปจนปลายทาง ชื่นชมระเบียงการค้าเชื่อมทางบกและทางทะเลระหว่างประเทศสายใหม่ (New International Land-Sea Trade Corridor: ILSTC) ใช้เวลาขนส่ง 4 วัน จากเดิม 8-10 วัน ซึ่งการขนส่งแบบใหม่นี้ไม่เพียงจะช่วยลดต้นทุนแล้ว ยังช่วยลดความเสียหายระหว่างการขนส่งได้อีกด้วย โดยสถิติการส่งออกทุเรียนปี 2022 ซึ่งถือเป็นปีที่มีสถิติการส่งออกทุเรียนสูงสุดในรอบ 30 ปี ไทยส่งออกทุเรียนสดมูลค่ากว่า 1.10 แสนล้านบาท คาดว่ามาจาก 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.ความสะดวกในด้านการคมนาคมขนส่งที่สามารถส่งออกสูงสุดได้ถึง 700-800 ตัน/ตู้/วัน 2. การผ่อนปรนการตรวจโควิดของจีน 3.รสชาติที่ดีของทุเรียนไทย และ 4.มาตรฐานการคุมเข้มทุเรียนอ่อน

ที่มา : https://www.thebetter.co.th/news/business/4772

‘ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง’ ปี 66 เติบโตต่อเนื่อง ดันไทยส่งออกอันดับ 1 อาเซียน ที่ 4 ของโลก

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีผลตัวเลขการส่งออกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยเติบโตต่อเนื่อง เป็นผู้นำด้านการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงอันดับ 4 ของโลก และอันดับ 1 ในอาเซียน ตลาดการส่งออกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และยังครองใจผู้บริโภคในตลาดโลก โดยข้อมูลจากกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ พบว่า ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2566 (ม.ค.– เม.ย. 66) ไทยมีมูลค่าการส่งออกอาหาsสัตว์เลี้ยงไปตลาดโลก 750 ล้านดอลลาร์ ทำให้ประเทศไทยขึ้นเป็นผู้นำด้านการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงอันดับ 4 ของโลก รองจากสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และจีน ซึ่งถือเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับคู่ค้า ปลดล็อคกำแพงภาษีศุลกากร ผู้ประกอบการไทยสามารถขยายส่งออกไปตลาดต่างประเทศได้มากขึ้น โดยช่วง 4 เดือนแรก ของปี 2566 ไทยส่งออกอาหาsสัตว์เลี้ยงไปตลาดคู่ค้า FTA มูลค่า 432 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 58% ของการส่งออกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงทั้งหมด ซึ่งตลาดที่ขยายตัวต่อเนื่อง ได้แก่ ฟิลิปปินส์ กัมพูชา เมียนมา และเปรู ปี 65 ส่งออกโต 15% ทั้งนี้ รัฐบาลยังคงปฏิบัติตามแนวทางการดำเนินนโยบายเจรจากับประเทศคู่ค้าที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเปิดเจรจา FTA ฉบับใหม่ ๆ กับประเทศคู่ค้าสำคัญ และคู่ค้าที่มีศักยภาพ เพื่อเพิ่มตลาดส่งออกอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการไทย

ที่มา : https://www.thebangkokinsight.com/news/business/1124725/

สตาร์ทอัพไทยผงาดเวทีโลกขึ้นอันดับ4อาเซียนและอันดับที่ 52 ของโลก

โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ สนับสนุนสตาร์ทอัพไทย จนเห็นผลจากการจัดอันดับดัชนีระบบนิเวศทางสตาร์ทอัพโลก (Global Startup Ecosystem Index 2023) ประจำปี 2566 ไทยที่ 4 อาเซียน และขยับสูงขึ้นกว่าปีก่อนเป็นอันดับที่ 52 ของโลก โดยได้เปิดเผยไว้บนเว็บไซต์ StartupBlink ศูนย์กลางข้อมูลด้านระบบนิเวศสตาร์ทอัพทั่วโลก ได้จัดอันดับ 100 ประเทศ และ 1,000 เมือง ที่มีระบบนิเวศทางสตาร์ทอัพที่ดีที่สุดของโลกตั้งแต่ปี 2560 ทั้งนี้ StartupBlink ระบุว่า ประเทศไทยได้พัฒนาเศรษฐกิจมากขึ้นตลอด 40 ปี ที่ผ่านมา ผ่านการปฏิรูป รวมทั้งสร้างนวัตกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างต่อเนื่อง โดยไทยไม่เพียงดึงดูดนักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังสามารถดึงดูดกลุ่ม Digital Nomad เข้ามาด้วย โดยเฉพาะในเชียงใหม่ และกรุงเทพฯ นอกจากนี้ การระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ภาครัฐให้ความสนใจกับการพัฒนาระบบนิเวศของสตาร์ทอัพมากขึ้น ในฐานะหัวใจสำคัญของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย รวมถึงมีนโยบายดึงดูดต่างชาติให้เข้ามาทำธุรกิจและลงทุนในไทย ผ่านโครงการ Elite Visa Smart Visa และ Long-Term Residents Visa รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง สามารถดึงดูดและช่วยสร้างระบบนิเวศที่ดีต่อการลงทุนจากต่างชาติได้

ที่มา : https://siamrath.co.th/n/456242

“พาณิชย์” แนะผู้ประกอบการไทยเจาะตลาดเวียดนาม

นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) แนะนำผู้ค้าปลีกไทยที่ลงทุนในตลาดเวียดนามให้ความสำคัญกับการกระบวนการผลิตสะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงมุ่งสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนและฉลากเขียว อีกทั้งแนะนำให้ผู้ประกอบการหันมาสนใจช่องทางโซเชียลมีเดียในเวียดนาม อาทิเช่น การขายสินค้าบน Facebook Live และ TikTok ซึ่งจะทำให้เข้าถึงผู้บริโภคชาวเวียดนามได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ อีคอมเมิร์ซเป็นช่องทางที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจที่ต้องการขยายการค้าไปยังตลาดเวียดนาม เนื่องจากใช้ต้นทุนต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการเปิดร้านค้าจริง และยังช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจได้ด้วย

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการค้าออนไลน์ ทำให้ธุรกิจที่ต้องการเข้าตลาดออนไลน์ในเวียดนาม จึงจำเป็นที่จะต้องศึกษากฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับอีคอมเมิร์ซในประเทศเวียดนาม

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/thai-retailers-advised-to-effectively-exploit-vietnamese-market/254883.vnp

Agoda แนะไทยเร่งสร้างจุดดึงดูดใหม่ให้นักท่องเที่ยว หลังเวียดนามมาแรงและจะกลายเป็นคู่แข่งสำคัญ

Agoda แพลตฟอร์มออนไลน์ด้านการท่องเที่ยวและจองที่พักชื่อดัง ได้ออกมาเปิดเผยสถิติข้อมูลนักท่องเที่ยวบนแพลตฟอร์มในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ พบว่าการท่องเที่ยวไทยโดยรวมฟื้นตัวในทิศทางที่รวดเร็วกว่าประเทศอื่น โดยไทยถือเป็นประเทศที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกเป็นอันดับ 2 รองจากญี่ปุ่น

ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวได้ดี ได้แก่ การเปิดประเทศของจีนและการที่ไทยมีเที่ยวบินรองรับนักท่องเที่ยวเพียงพอ โดยข้อมูลล่าสุดระบุว่า นับจากต้นปีที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามายังประเทศไทยแล้วไม่ต่ำกว่า 11 ล้านคน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปีของปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ Morgenshtern เปิดเผยว่า นักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ที่สุดที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยในปีนี้คือชาวเกาหลีใต้ ตามมาด้วยมาเลเซียและจีน

อย่างไรก็ดี เขาก็เห็นเทรนด์การเดินทางไปท่องเที่ยวในเวียดนามของชาวเกาหลีใต้ที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ชาวเกาหลีใต้เลือกเวียดนามเป็นจุดหมายในการท่องเที่ยวมากขึ้นมีความเชื่อมโยงกับการที่บริษัทจากเกาหลีใต้จำนวนมากเลือกเข้ามาลงทุนและตั้งโรงงานในเวียดนามในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ยิ่งคุณดึงดูดการลงทุนและนักธุรกิจเข้ามาได้มากเท่าไร มันก็จะส่งผลบวกต่อการท่องเที่ยวตามไปด้วย ขณะที่ซีอีโอ Agoda เชื่อว่าเวียดนามกำลังก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวในด้านการท่องเที่ยวสำหรับประเทศไทย

ที่มา : https://thestandard.co/agoda-advice-thailand-build-new-attraction/