ธปท. เผยนักวิเคราะห์ยังหั่น GDP ไทยปีนี้โตเหลือ 0.6% แม้เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวช่วงไตรมาส 4 ห่วงโควิดกลับมาระบาดรุนแรง

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ต่อเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4/64 โดยผลสำรวจพบว่า นักวิเคราะห์ปรับลดคาดการณ์การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ลงเหลือ 0.6% จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโต 1.3% แต่ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้มีแนวโน้มฟื้นตัว สะท้อนจากการคาดการณ์ว่าทุกเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจจะขยายตัวเล็กน้อย จากแรงสนับสนุนทั้งนโยบายด้านการคลังและการเงิน รวมถึงการฉีดวัคซีนที่คืบหน้าไปมาก และการทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุม ส่งผลให้กำลังซื้อในประเทศเริ่มฟื้นตัว

ที่มา : https://thestandard.co/gdp-growth-of-thailand-this-year-to-0-6per/

ต.ค. 64 ชาวประมงมีรายได้จากการส่งออกไประนอง 15.42 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

รายได้รวม 15.42 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการส่งออกประมงมากกว่า 14,037 ตัน ไปยังจังหวัดระนอง ประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 ถึง 21 ต.ค. พ.ศ. 2564 เนื่องจากอำเภอเกาะสอง เขตตะนาวศรี ประกอบธุรกิจการประมงเป็นหลัก ซึ่งช่วงนี้เป็นฤดูจับปลาชาวประมงมีกำไรจาการการจับปลา ได้อย่างน้อย 22 วันต่อเดือน โดยปัจจุบันราคาสินค้าประมงในตลาด ได้แก่ กุ้งก้ามกรามขนาดใหญ่ กก.ละ 60 บาท และเต่าขนาดเล็กราคา 90 บาท และขนาดใหญ่กว่า กก.ละ 120 บาท ซึ่งอนุญาตให้ใช้อวนจับปลาตามที่กรมประมงกำหนดเท่านั้น

ที่มา: https://www.gnlm.com.mm/usd-15-42-million-earned-from-fishery-exports-to-ranong-in-october/#article-title

ไทยชูแผนคุมโควิด-เปิดประเทศ สร้างความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนสหรัฐ

นายสรรเสริญ สมะลาภา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลังประชุมทางไกล กับคณะนักธุรกิจ จากสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน (U.S.-ASEAN Business Council : USABC) ทั้งนี้ ได้ใช้โอกาสนี้สร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนสหรัฐฯ ในการรับมือการแพร่ระบาดของโควิด-19 และความพร้อมการเปิดประเทศ และยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันในระยะยาวบนฐานเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว หรือ BCG Model และการดึงดูดการลงทุนเข้าสู่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ปัจจุบัน สหรัฐฯ เป็นคู่ค้าอันดับ 3 รองจากจีนและญี่ปุ่น โดยช่วง 8 เดือนของปี 64 (ม.ค.-ส.ค.) มีมูลค่า 36,460 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 9.56% โดยส่งออกไปสหรัฐฯ มูลค่า 26,884 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 20.56% และนำเข้ามูลค่า 9,576 ล้านเหรียญสหรัฐลด 12.79%

ที่มา: https://www.naewna.com/business/609480

ไทย-เวียดนาม ตลาดสำคัญส่งออกสินค้าเกษตรกัมพูชา

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรกัมพูชา กล่าวถึงการรายงานของกรมวิชาการเกษตรเกี่ยวกับปริมาณการส่งออกสินค้าเกษตรไปยัง 90 ประเทศทั่วโลก ในช่วง 9 เดือนแรกของปี ด้วยปริมาณรวม 5.93 ล้านตัน โดยในบรรดา 90 ประเทศ เวียดนามและไทย ถือเป็นตลาดหลักสำคัญของสินค้าเกษตรกัมพูชา ซึ่งเวียดนามทำการนำเข้าสินค้าเกษตรจากกัมพูชาคิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 64.11 ไทยร้อยละ 21.49 จีนร้อยละ 9.69 และ อีก 87 ประเทศ ราวร้อยละ 4.71 โดยคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสินค้าส่งออกทางการเกษตรของกัมพูชาที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ข้าวโพด ถั่วเหลือง กล้วยสด ส้มโอ มะม่วงสด น้ำเชื่อมมะม่วง น้ำมันมะพร้าว พริกไทย ยาสูบ เป็นสำคัญ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50953268/thailand-and-vietnam-remain-key-markets-for-cambodian-agricultural-products-out-of-90-markets/

ราคาข้าวเวียดนามพุ่งแซงไทย

สมาคมอาหารเวียดนาม (VFA) เปิดเผยว่าราคาส่งออกข้าวหัก 5% ของเวียดนามพุ่งสูงขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ แซงหน้าราคาข้าวไทย อินเดียและปากีสถาน โดยในช่วงกลางเดือน ส.ค. ราคาส่งออกข้าวหัก 5% ของเวียดนามลดลงเหลือ 385 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลง 100 เหรียญสหรัฐต่อตันเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ. 2563 ในขณะที่ราคาส่งออกข้าวหัก 5% ของเวียดนามอยู่ที่ 8 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งต่ำกว่าข้าวหัก 5% ของไทย แต่ยังสูงกว่าข้าวของอินเดียและปากีสถานอยู่ที่ 25 เหรียญสหรัฐ และ 40 เหรียญสหรัฐต่อตัน ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ราคาส่งออกข้าวหัก 5% ของเวียดนามในปัจจุบัน อยู่ที่ 433-437 เหรียญสหรัฐต่อตัน ถือว่าสูงกว่าของไทย อินเดียและปากีสถานอยู่ที่ 49, 68 และ 55 เหรียญสหรัฐต่อตัน ตามลำดับ

ที่มา : https://english.thesaigontimes.vn/vietnams-rice-price-surges-surpasses-that-of-thailand/

คลังเตรียมให้สัตยาบันตั้งบริษัทลูกธนาคารในอาเซียน

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า การเปิดเสรีด้านบริการการเงินในอาเซียนมีความคืบหน้ามากขึ้น โดยเตรียมให้สัตยาบัน (Ratification) ข้อตกลงให้ธนาคารของสมาชิกอาเซียน เข้าไปตั้งบริษัทลูกในประเทศสมาชิกอาเซียนอีกประเทศหนึ่งได้ไม่เกิน 49% ซึ่งการจัดทำข้อตกลงเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงินของประเทศสมาชิกอาเซียน ได้ดำเนินสืบเนื่องในหลายครั้งผ่านการเจรจาหารือร่วมกันและครั้งนี้ ถือเป็นข้อตกลงฉบับที่ 9  ซึ่งทำให้การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของสมาชิกอาเซียน มีความลึกและกว้างขึ้น โดยจะเป็นการลดข้อจำกัดของการเข้ามาลงทุนในกิจการธนาคารภายในกลุ่มอาเซียน ทั้งนี้ ข้อตกลงดังกล่าวซึ่งเรียกว่า ASEAN Framework Agreement on Services ซึ่งกระทรวงการคลังในฐานะหน่วยงานหลักในการเจรจาร่วมกับภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องได้เห็นชอบร่างข้อตกลงนี้แล้ว โดยร่างข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ใน 180 วัน หลังจากลงนามให้สัตยาบัน สำหรับสาระสำคัญของข้อตกลงฉบับที่ 9 ดังกล่าว เพื่อขยายความร่วมมือด้านการค้าบริการระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน โดยลดหรือยกเลิกข้อจำกัดที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าบริการภายใต้กรอบอาเซียนให้มากกว่าที่เปิดเสรีตามกรอบขององค์การการค้าโลก และประเทศสมาชิกจะให้สิทธิประโยชน์ตามตารางข้อผูกพันแก่ประเทศสมาชิกอื่น ตามหลักการให้การปฏิบัติเยี่ยงชาติที่ได้รับความอนุเคราะห์ยิ่ง (Most-Favored Nation Treatment: MFN) และการปฏิบัติเยี่ยงคนชาติ (National Treatment)

ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/news/965526

9 เดือนขอลงทุนทะลุ 5 แสนล้านบาท บีโอไอโชว์ตัวเลขต่างชาติโตกว่า 200%

คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) เปิดเผยว่า ช่วง 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย.) ปี 2564 มีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน 1,273 โครงการ เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับปี 2563 เงินลงทุนรวม 520,680 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 140% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีมูลค่าสูงกว่าปี 2563 ทั้งปีซึ่งอยู่ที่ 432,000 ล้านบาท พบว่า กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายมีมูลค่าเงินลงทุน 269,730 ล้านบาท คิดเป็น 52% ของการขอรับส่งเสริมการลงทุนทั้งหมด ลงทุนเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์มากที่สุด รองลงมาคือ การแพทย์ ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ การเกษตรและแปรรูปอาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพ ที่น่าสนใจคือ มูลค่าขอรับการส่งเสริมจากต่างประเทศ หรือ เอฟดีไอ มี 587 โครงการ เงินลงทุน 372,068 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 220% เมื่อเทียบกับปีก่อน ประเทศที่ลงทุนสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และสิงคโปร์

ที่มา: https://www.matichon.co.th/economy/news_2985772

ส่งออกรถยนต์ไปเมียนมาสะดุด ทางการประกาศห้ามนำเข้าชั่วคราว

นายธัชชญาน์พล อภิมนต์เตชบุตร รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมการค้า กระทรวงพาณิชย์เมียนมา ได้ระงับการเปิดศูนย์ขายรถยนต์ใหม่ รวมทั้งระงับการออกใบอนุญาตนำเข้าและการอนุญาตนำเข้ารถยนต์นั่งส่วนบุคคลชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2564 เป็นต้นไป เพื่อลดการใช้เงินตราต่างประเทศจากการนำเข้าสินค้ารถยนต์ฯ ประกาศฯ มีดังนี้ 1.กรณีการนำเข้ารถยนต์ที่ใช้แล้วและการนำเข้ารถยนต์ส่วนบุคคล 2.กรณีการนำเข้าจากศูนย์การขายรถยนต์และโชว์รูมรถยนต์ 3.กรณีที่มีการนำเข้าให้กับข้าราชการจากหน่วยงานต่างๆ ที่ได้รับรางวัลข้าราชการพลเรือนดีเด่น ทหารและตำรวจที่ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติ ทั้งนี้ในช่วงเดือนม.ค.-ส.ค. 2564 ไทยส่งออกรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไปเมียนมา มูลค่า 1,991.13 ล้านบาท โดยผ่านชายแดนมูลค่า 1,500.34 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถึง 75.35%

ที่มา: https://www.naewna.com/business/608193

รัฐห้าม‘โรงแรม’โก่งราคา ขู่ตัดสิทธิ์ร่วมโครงการเที่ยวด้วยกัน

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้เริ่มโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 โดยเปิดให้ประชาชนผู้ร่วมโครงการใช้สิทธิ์จองที่พักตามโครงการตั้งแต่วันที่ 8 ต.ค. เป็นต้นมา ได้พบการร้องเรียนจากประชาชนมาเป็นจำนวนมากถึงโรงแรมที่พักซึ่งเข้าร่วมโครงการฯ ปรับขึ้นราคาเป็นจำนวนมากในจังหวัด เช่น ภูเก็ต พัทยา หัวหิน เชียงใหม่ เขาใหญ่ ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบหากตรวจสอบพบว่าการฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาที่พักหรือให้บริการจริง นอกจากจะถูกลงโทษตัดสิทธิ์จากโครงการในรอบนี้แล้ว และส่งผลถึงการพิจารณาเข้าร่วมโครงการอื่นๆ ที่รัฐบาลจัดขึ้นในระยะต่อๆ ไปด้วย

ที่มา: https://www.naewna.com/business/607938

 

‘บาทอ่อน’ทำสถิติใหม่ ‘กรุงศรี’ชี้สัปดาห์นี้แตะ 34.20

กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 33.50-34.20 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดอ่อนค่าที่ 33.63 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างสัปดาห์แตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 4 ปี ท่ามกลางแรงซื้อดอลลาร์เป็นวงกว้างในตลาดโลก ขณะที่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% เงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา อีกทั้งยังประเมินว่าไตรมาส 3 เป็นจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจซึ่งจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยยังคงประมาณการขยายตัวของจีดีพีปีนี้ที่ 0.7% และเพิ่มคาดการณ์ปี 2565 เป็นเติบโต 3.9% จากที่เคยคาดไว้ที่ 3.7% ขณะที่เห็นว่ามาตรการด้านการเงินจะมีประสิทธิผลมากกว่าการลดดอกเบี้ย

ที่มา: https://www.naewna.com/business/606601