นานาชาติมั่นใจตลาดค้าปลีกไทยยังเติบโต ผนึกกำลังเตรียมจัดงาน VEND ASEAN 2023

เชื่อมั่นอุตสาหกรรมค้าปลีกไทยปี 2566 ยังคงเติบโต สมาคมอาเซียน แปซิฟิก เวนดิ้ง ร่วมกับ บริษัท กวางตง แกรนเดอร์ เอ็กซิบิชั่น กรุ๊ป และบริษัท คอมพาส เอ็กซิบิชั่น จำกัด เตรียมจัดงานแสดงสินค้าเจรจาธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องอำนวยความสะดวกและเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติใหญ่ที่สุดในอาเซียน โดยมีกำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 24-26 ตุลาคม 2566 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี คาดผลตอบรับมีผู้ร่วมเจรจาธุรกิจจากทั่วภูมิภาคกว่าหมื่นราย นายเจาหยุน หวัง ประธานบริหาร บริษัท กวางตง แกรนเดอร์ เอ็กซิบิชั่น กรุ๊ป และตัวแทนสมาคมอาเซียน แปซิฟิก เวนดิ้ง กล่าวว่า ประเทศไทย ถือเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียนที่อุตสาหกรรมค้าปลีกมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากการท่องเที่ยวผลักดันอุตสาหกรรมค้าปลีกให้เกิดการพัฒนาและขยายตัว ดังจะเห็นในทุกหัวเมืองท่องเที่ยวของไทยมีการลงทุนเกี่ยวกับห้างสรรพสินค้า รวมถึงศูนย์การค้าชุมชนขนาดเล็กและขนาดกลางจำนวนมาก ซึ่งจากการสำรวจปี 2020 มีมากถึง 2,000 แห่ง และจากปัจจัยบวกหลังวิกฤตโควิด-19 การท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัว ส่งผลถึงความมั่นใจให้กลุ่มธุรกิจค้าปลีกขยายการลงทุน อย่างไรก็ตาม แม้เป็นการกลับมาจัดงานอีกครั้งในรอบ 3 ปี หลังจากสถานการณ์โควิด-19 แต่ยังคงมั่นใจในปีนี้จะได้ผลตอบรับที่ดี คาดว่ามีนักลงทุนกลุ่มธุรกิจค้าปลีกจากประเทศในภูมิภาคอาเซียนเข้าร่วมชมงานและเจรจาธุรกิจมากกว่า 10,000 ราย

ที่มา : https://www.ryt9.com/s/prg/3441528#google_vignette

อาเซียนสรุปผลเจรจาด้านเศรษฐกิจเตรียมชงวงถก รมต.เคาะ ส.ค.นี้

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้นายดวงอาทิตย์ นิธิอุทัย รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เข้าร่วมประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจอาเซียน (Senior Economic Officials Meeting: SEOM) ครั้งที่ 3/54 ระหว่างวันที่ 11-16 ก.ค.ที่ผ่านมา ณ เมืองสุราบายา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย เพื่อติดตามการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจของปี 2566 ก่อนเสนอผลลัพธ์ต่อรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนในเดือน ส.ค.นี้ พร้อมเตรียมการประชุมกับประเทศนอกภูมิภาค ได้แก่ ออสเตรเลีย แคนาดา จีน สหภาพยุโรป ฮ่องกง อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ รัสเซีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา

ที่มา : https://www.ryt9.com/s/iq03/3439183

กัมพูชาส่งออกสินค้าไปยังประเทศกลุ่ม RCEP ขยายตัว 24%

การส่งออกของกัมพูชาไปยังกลุ่มประเทศความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ในช่วงครึ่งแรกของปี มีมูลค่ารวมกว่า 4.07 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับประเทศที่กัมพูชาส่งออกสามอันดับแรกภายใต้ RCEP ในช่วงเวลาดังกล่าว ได้แก่ เวียดนามที่มูลค่า 1.43 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัวร้อยละ 22, จีน 713 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวร้อยละ 17 และญี่ปุ่นที่มูลค่า 545 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวเล็กน้อยร้อยละ 1 รายงานโดยกระทรวงพาณิชย์กัมพูชา สำหรับ RCEP ประกอบด้วย 15 ประเทศ ในเอเชียแปซิฟิก และ 15 รัฐสมาชิกของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และคู่ค้าอีก 5 แห่ง ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501328587/cambodias-export-to-rcep-nations-rises-by-24-yoy-in-h1-2023/

ส่งออก “ปลากระป๋องและแปรรูป” ไปตลาด FTA 5 เดือนโต 15.7% ทูน่ากระป๋องแชมป์

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมได้ติดตามสถานการณ์สินค้าปลากระป๋องและแปรรูป พบว่าเป็นสินค้าที่มีศักยภาพของไทย โดยปัจจุบันไทยส่งออกเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากจีน และอันดับ 1 ของอาเซียน และในช่วง 5 เดือนของปี 2566 (ม.ค.-พ.ค.) ไทยส่งออกปลากระป๋องและแปรรูปไปตลาดโลกแล้วมูลค่า 1,145.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการส่งออกไปตลาดคู่ FTA มูลค่า 351.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 15.7% ตลาดคู่ FTA ที่ขยายตัวต่อเนื่อง เช่น ญี่ปุ่น เพิ่ม 22.7% ชิลี เพิ่ม 96.7% เปรู เพิ่ม 183.1% จีน เพิ่ม 25.7% กัมพูชา เพิ่ม 11.9% และฟิลิปปินส์ เพิ่ม 138.1%

ทั้งนี้ เมื่อเจาะลึกการส่งออกสินค้าปลากระป๋องและแปรรูปไปตลาดคู่ FTA พบว่า ปลาทูน่ากระป๋อง เพิ่ม 17.2% คิดเป็นสัดส่วน 51.6% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดไปตลาดคู่ FTA ปลาแปรรูป เช่น ปลาทูน่าที่ทำให้สุกแล้ว คาร์เวียร์ ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน และปลาแมคเคอเรล เพิ่ม 18.2% สัดส่วน 32.6% ปลาซาร์ดีนกระป๋อง เพิ่ม 8.4% สัดส่วน 4.6% และปลากระป๋องอื่นๆ เพิ่ม 6.2% สัดส่วน 11.1%

ที่มา : https://www.commercenewsagency.com/news/6183

‘จีน’ เลือก ‘ไทย’ ตั้งโรงงานแบตรถยนต์ไฟฟ้า แห่งแรกในอาเซียน

สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า เอสวีโอแอลที (SVOLT) ผู้ผลิตแบตเตอรีของจีน จัดพิธีวางศิลาฤกษ์โรงงานแบตเตอรีโมดูลแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ณ จังหวัดชลบุรี เมื่อวันพุธ (5 ก.ค.) ด้วยเป้าหมายเข้าถึงตลาดยานยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วของภูมิภาค

ทั้งนี้ รายงานระบุว่า เอสวีโอแอลทีเข้าสู่ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อสอดคล้องกับกระแสบริษัทยานยนต์ไฟฟ้าของจีน เช่น จีดับเบิลยูเอ็ม (GWM) เอสเอไอซี (SAIC) และบีวายดี (BYD) ที่เข้าตั้งโรงงานผลิตในท้องถิ่นในไทย ขณะตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

อีกทั้ง หยางหงซิน ประธานและซีอีโอของเอสวีโอแอลที เน้นย้ำบทบาทนำร่องของไทยในฐานะศูนย์กลางระดับภูมิภาคด้านการผลิตและส่งออกยานยนต์ ทำให้เอสวีโอแอลทีมีโอกาสยอดเยี่ยมในการขยับขยายในต่างประเทศและการเติบโตทางธุรกิจ

ที่มา : https://ch3plus.com/news/economy/ch3onlinenews/356955

‘เวียดนาม’ กลายเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของกัมพูชาในกลุ่มประเทศอาเซียน

กระทรวงพาณิชย์ของกัมพูชา ระบุว่าในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 การค้าระหว่างประเทศของกัมพูชาและเวียดนาม ทำรายได้สูงถึง 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นกว่า 3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ส่งผลให้เวียดนามกลายเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของกัมพูชาในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน เนื่องจากมูลค่าการค้าทวิภาคีของทั้งสองประเทศที่มีสัดส่วนราว 50% ของเม็ดเงินรวมระหว่างกัมพูชาและประเทศสมาชิกอาเซียน ทั้งนี้ จากการเติบโตของการส่งออกกัมพูชาไปยังเวียดนามนั้น ได้รับแรงหนุนมาจากการส่งออกผลผลิตทางการเกษตรที่สูงขึ้น เนื่องจากเก็บเกี่ยวผลผลิตได้มากขึ้น โดยเฉพาะข้าว ยางพารา เม็ดมะม่วงหิมพานต์และมันสำปะหลัง เป็นต้น ในขณะที่สินค้านำเข้าสำคัญจากเวียดนาม ได้แก่ วัสดุก่อสร้าง เครื่องจักร เชื้อเพลิงและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น

ที่มา : https://vietnamnet.vn/en/vietnam-becomes-largest-asean-trading-partner-of-cambodia-media-2163621.html

แรงงานกัมพูชาส่งเงินกลับบ้าน ปี 2022 แตะ 1.25 พันล้านดอลลาร์

แรงงานข้ามชาติชาวกัมพูชาส่งเงินกลับบ้านเพิ่มขึ้นจาก 1.15 พันล้านดอลลาร์ในปี 2021 เพิ่มขึ้นเป็น 1.25 พันล้านดอลลาร์ในปี 2022 สูงเป็นอันดับสามในกลุ่มประเทศอาเซียน คิดเป็นร้อยละ 4.4 ของ GDP ประเทศ รองจากฟิลิปปินส์และเวียดนาม รายงานโดยธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ร่วมกับองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ในระหว่างการประชุม “12th Annual ADBI–OECD–ILO Roundtable on Labour Migration: Recovering from Covid-19: What does It Mean for Labor Migration in Asia?” โดยไทยมีแรงงานกัมพูชาเดินทางไปทำงานมากที่สุดอยู่ที่ประมาณ 1.2 ล้านคน ในปี 2021 เกาหลีใต้มีแรงงานเกือบ 46,000 คน ตามมาด้วยมาเลเซีย 23,000 คน ญี่ปุ่นเกือบ 12,000 คน และสิงคโปร์ประมาณ 800 คน ซึ่งสิงคโปร์ มาเลเซีย และไทยเป็นประเทศปลายทางหลักสำหรับแรงงานข้ามชาติในอาเซียน โดยปัจจุบันโลกกำลังเผชิญอยู่กับความไม่แน่นอนหลายประการ อาทิเช่น สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ภัยคุกคามทางด้านสิ่งแวดล้อม การหยุดชะงักของอุปทาน และความไม่มั่นคงทางการเงินระดับโลก ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการย้ายถิ่นฐานของแรงงานไปยังเอเชีย ทั้งแรงงานมีทักษะสูงและทักษะน้อย

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501317625/cambodias-remittances-rise-to-1-25b/

ท่าเรือ สปป.ลาว-มาเลเซีย มองหาช่องทางการเชื่อมโยงระหว่างกัน

Sake Philangam กรรมการผู้จัดการของท่าเรือบกท่านาแล้ง สปป.ลาว และ Mr. Wan Ahmad Azheed Wan Mohamad กรรมการผู้จัดการกลุ่มและซีอีโอของ Mutiara Perlis Sdn Bhd ได้จัดพิธีลงนามในบันทึกความร่วมมือระหว่างกัน (MoC) โดยมีนายกรัฐมนตรีของ สปป.ลาว และมาเลเซียร่วมเป็นสักขีพยาน ซึ่งทั้งสองฝ่ายมีความต้องการในการเชื่อมโยงด้านโลจิสติกส์ระหว่างกัน เพื่อเป็นการส่งเสริมการค้าการลงทุนต่อไปในอนาคต ขณะที่รัฐวิสาหกิจการรถไฟแห่งชาติลาวและการรถไฟมาเลเซีย Keretapi Tanah Melayu Berhad (KTMB) ก็ได้ลงนามใน MoC ที่คล้ายคลึงกัน เพื่อเป็นการส่งเสริมการขนส่งทางราง หวังเชื่อมโลจิสติกส์ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งหากเกิดการเชื่อมกันอย่างสมบูรณ์จะช่วยลดระยะเวลาและต้นทุนในการขนส่งลงอย่างมาก โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าไปยังจีนที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของกลุ่มประเทศอาเซียน ยกตัวอย่างเช่น การขนส่งทุเรียนจากประเทศไทยผ่านทางรถไฟใช้เวลาเพียง 3 วัน ในการขนส่งไปยังจีน เร็วกว่าการขนส่งแบบดังเดิมถึงสองเท่า และด้วยความได้เปลี่ยนนี้คาดว่าจะถือเป็นการดึงดูดนักลงทุน เข้ามาลงทุนยังภูมิภาคมากยิ่งขึ้น อีกทั้ง สปป.ลาว ยังได้เพิ่มสิ่งจูงใจในการเข้ามาลงทุนอีกมากมาย เช่น ยกเว้นภาษีนิติบุคคล 8-16 ปี การลดหย่อนภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นต้น อีกทั้ง สปป.ลาว ยังมีข้อตกลงทางด้านการค้าอีกหลายฉบับกับนานาประเทศทั่วโลก

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_LaoMalasian125.php

นายกฯ คาดส่งออกข้าวปี 66 ทะลุ 8 ล้านตัน ดันไทยกลับเป็นที่ 2 ของโลก

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบรายงานความคืบหน้าการส่งออกข้าวของไทย และการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ข้าวไทยตั้งแต่ปี 2563-2567 ผลักดันไทยเป็นผู้นำด้านการผลิตและการตลาดข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวคุณภาพของโลก โดยนายกเชื่อมั่นว่าการส่งออกข้าวไทย ปี 2566 จะเป็นไปตามการคาดการณ์ ที่ยอดมากกว่า 8 ล้านตัน และไทยกลับมาเป็นอันดับที่ 2 ประเทศส่งออกข้าวของโลก ซึ่งยอดส่งออกข้าวในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2566 นี้ มีปริมาณสูงถึง 2.62 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 14.41 ด้านโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลผลักดันให้เกิดการกระชับสัมพันธ์คู่ค้าสำคัญ และการหากลุ่มลูกค้าใหม่ให้ครอบคลุมตลาดข้าวมากขึ้นมาโดยตลอด ซึ่งตลาดส่งออกข้าวที่สำคัญของไทย ได้แก่ อิรัก อินโดนีเซีย แอฟริกาใต้ สหรัฐอเมริกา และจีน ประกอบกับ ที่ผ่านมาไทยเพิ่มโอกาสทางการค้าด้วยการจัดคณะผู้แทนเดินทางไปกระชับความสัมพันธ์ เช่น ฮ่องกง จีน ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และแอฟริกาใต้ และเพิ่มโอกาสด้วยการเข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ เช่น งาน China–ASEAN Expo (จีน) งาน Fine Food (ออสเตรเลีย) และงาน ANUGA (เยอรมนี) เป็นต้น

ที่มา : https://www.naewna.com/business/740713

“เวียดนาม-จีน” เดินหน้าระชับความร่วมมือทวิภาคี

นายบุ่ย แทงห์ เซิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม ได้กล่าวยืนยันกับนายฉิน กัง มนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน ว่าเวียดนามให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์รอบด้านกับประเทศจีน และมองว่าจีนมีความสำคัญกับเวียดนามในฐานะทูตของประเทศเพื่อนบ้าน เช่นเดียวกันกลุ่มประเทศในอาเซียน โดยทั้งสองประเทศเห็นพ้องว่าให้มีการเยือนกันอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ จีนจะสนับสนุนให้ธุรกิจที่มีชื่อเสียงเข้ามาลงทุนในเวียดนาม

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501314680/vietnam-china-seek-to-boost-cooperation/